วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ทำไม นักวิเคราะห์แนะให้ซื้อ มันกลับลง พอแนะขาย มันกลับขึ้น?


การที่นักวิเคราะห์เชียร์ให้ซื้อแล้วลง เชียร์ให้ขาย แล้วขึ้น ไม่ใช่เพราะ เขาไม่มีความรู้และเครื่องมือในการทำงาน ที่ดีพอนะ ความรู้และเครื่องมือในการวิเคราะห์การลงทุนของเขา มากมายหลายหลาก แต่รายใหญ่ หรือ ผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือ เจ้าของบริษัท เดี๋ยวนี้ เขามักจะเลือกคนเก่งกราฟ มาดูแลราคาหุ้น และใช้เครื่องมือเหล่านั้น มาหาประโยชน์ส่วนตนอีกที ด้วยการไล่ราคาหุ้นจนกระทั่งกราฟ "สั่งซื้อ" (buy signal) แล้ววางขายรินขายฝั่ง offer เมื่อกราฟ "สั่งถือ" แล้วทุบเปรี้ยงลงมาเลย เมื่อแรงเคาะซื้อเริ่มหมดแรง เพื่อให้กราฟ "สั่งขาย" ให้เขาได้ซื้อคืนในราคาที่ต่ำกว่าเดิม ...... นี่คือความจริง ภาคสนามรบ 

The Secret Has Been Revealed! 

ถ้าท่านเป็นเจ้าของบริษัท อุตส่าห์์ไล่ราคาขึ้นมาตั้งเยอะ แต่กลับโดนใครก็ไม่รู้ ที่มีหุ้นต้นทุนต่ำๆ ขายใส่ตลอดทาง ท่านเซ็งไหม ....... มันต้องใช้เงินมากขึ้นกว่าเดิมไหมในการทำราคา หากพวก net settlement มาจับเสือมือเปล่า กินเงินท่าน ไปฟรีๆ ในแต่ละวัน .... ด้วยเหตุนี้ รายใหญ่ จึงมี ลาก มีกระชาก มีขายทิ้ง เป็นระยะๆ ไม่งั้น เงินหมดตัวแน่ กว่าราคาหุ้นจะถึงเป้าหมาย ที่ "นาย" สั่ง 

Step a - 
เมื่อเขาต้องการซื้อหุ้น ในราคาถูก เขาจะไปเช็คกราฟ technical จากโปรแกรมของเขา เพื่อหาจุด cut loss และแนวรับ จากนั้น เขาจะสั่งมาร์เก็ตติ้ง อีกโบรกฯ หนึ่ง ให้ตั้ง bid ไว้ หลายๆราคา + สั่งมาร์เก็ตติ้งอีกโบรกฯ หนึ่ง ให้ตั้ง bid ที่แนวรับ + สั่งมาร์เก็ตติ้งอีกโบรกฯ หนึ่ง ให้ตั้ง bid รอ ในระดับราคาที่ต่ำกว่าจุด cut loss ..... 
จากนั้น เขาจะสั่งมาร์เก็ตติ้ง อีกโบรกฯหนึ่ง ให้ขายโครมลงมา ที่ฝั่ง bid (หุ้นไม่ได้หายไปไหน แค่เปลี่ยนไปอยู่ในมือของอีกโบรกฯหนึ่ง) ผลที่เกิดขึ้นคือ ผู้ถือหุ้นต้นทุนต่ำรายอื่นก็จะทิ้งหุ้นลงมาด้วย ทำให้ bid ที่เขาสั่งตั้งไว้ที่แนวรับ ได้ของไปพอสมควร 
จากนั้น ก็สั่งขายหุ้นที่เพิ่งซื้อมาเมื่อกี้นี้แหละ โครมลงมาอีกที เพื่อให้หลุดแนวรับ หรือ ให้ถึงจุดที่โปรแกรมจะต้องสั่งขาย .... เมื่อหลุดแนวรับ หรือ เมื่อถึงจุดที่โปรแกรมสั่งขาย คราวนี้ ราคาจะไหลรูดดิ่งลงมาอย่างรวดเร็ว ปริมาณหุ้นที่เขาตั้งซื้อในระดับราคาต่ำๆ จะได้รับคืนครบหมดตามปริมาณที่เขาต้องการ หรือ อาจจะ blocked ราคาที่ฝั่ง offer ไปนานๆ จนกว่าจะได้ของครบ ระหว่างนี้ อาจมี ตบ มี ทุบ ด้วยก็ได้ หากของยังไม่ได้คืนอย่างที่ตั้งใจ ......แล้ววันรุ่งขึ้น นักวิเคราะห์ทุกโบรกฯ ก็จะดาหน้า มา recommend "sell" เองแหละ เพราะกราฟมันสั่งขาย อีกไม่นานเขาก็จะได้ของครบเลย บรรลุวัตถุประสงค์ .... นี่จึงเป็นเหตุผล ที่ต้องใช้กลยุทธ์ Short Against Port ควบคู่ไปกับ การใช้ จุด Trailing Stop (เช่นเดียวกับการยก Trailing Stop ขึ้นไปเรื่อยๆ ควบคู่ไปกับกลยุทธ์ Let Profit Run) 


Step b - 
พอได้ของครบ ก็ค่อยๆเคาะซื้อไล่ราคาขึ้น แบบไม่ให้ใครสังเกต ระหว่างนี้ กราฟยังไม่สั่งซื้อนะ คนในตลาดก็จะไม่ค่อยได้สังเกตเห็น ..... เมื่อได้ของพอประมาณแล้ว ก็จะปล่อยข่าวดีเป็นระยะๆ พร้อมสั่งให้อีกโบรกฯ วางขายหุ้นหนาๆ ที่ฝั่ง offer แล้วตัวเองก็สั่งอีกโบรกฯ ให้เคาะซื้อไล่ราคาขึ้นไป (หุ้นไม่ได้เพิ่มมากขึ้น แค่เปลี่ยนไปอยู๋ในมือของอีกโบรกฯหนึ่ง) อีกไม่นาน มันก็ผ่านพ้นแนวต้านได้ โปรแกรมก็จะสั่งซื้อแล้ว คราวนี้ นักวิเคราะห์ก็จะดาหน้ากันออกมา recommend "buy" ..... 
โธ่ ท่าน คนมา bid ซื้อเยอะๆในราคาสูงๆอย่างงี้ ตุนไว้ 30 ล้านหุ้น 50 ล้านหุ้น ไม่ขายตอนนี้จะไปขายตอนไหน .... แต่ ครั้นจะขายโครมลงมา กราฟจะเสีย ราคาจะเสีย อย่ากระนั้นเลย กราฟยัง "สั่งถือ" เราเลยต้องแอบๆขาย มีเคาะขวาสลับบ้าง เพื่อสร้างความมั่นใจ ว่า "ยังสั่งถือ" .... จนเมื่อใด ที่แรงซื้อเริ่มเบา คราวนี้ล่ะ เขาจะรีบขายโครมลงมาอย่างรวดเร็ว ไม่งั้น อีก 10 ล้านหุ้นที่เหลือ จะออกไม่ทัน (แต่เดี๋ยวก่อน ขอเก็บไว้สัก 2 ล้านหุ้นแล้วกัน ที่จะไม่ขาย จะเตรียมไว้ขาย ในวันหลัง โดยจะขายโครมลงมาจนหลุดแนวรับหลุดหลุ่ย เพื่อให้กราฟสั่งขาย ไม่งั้น เดี๋ยวจะไม่ได้ของคืนหากทุกคนยังเก็บหุ้นไว้ไม่ยอมปล่อย) ......
แล้ววันรุ่งขึ้น นักวิเคราะห์ทุกโบรกฯ ก็จะดาหน้า มา recommend "sell" เองแหละ เพราะกราฟมันสั่งขาย อีกไม่นานเขาก็จะได้ของครบเลย บรรลุวัตถุประสงค์ ..... 
"นาย" ก็ happy เพราะสัดส่วนการถือหุ้นยังคงเดิม แต่ฟันกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้นเรียบร้อยไปแล้ว 40-80% (บางท่านอาจจะบอกว่า เขาได้กันที เป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ อันนี้ ไม่จริง เพราะ ส่วนหนึ่งของราคาที่ขึ้นไป เกิดจากการซื้อเอง ขายเองด้วย > กำไรจากโบรกหนึ่ง แต่ไปขาดทุนในอีกโบรกฯหนึ่ง การคำนวณกำไรจึงไม่สามารถเอา high มาลบ low แล้วคูณด้วยราคาหุ้นได้)

*** เพราะเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องใช้ทุกอย่างร่วมกันในการประกอบการตัดสินใจลงทุน ..... หุ้นไม่มีทางลัด ไม่มีสูตรสำเร็จ ที่จะให้ใครมาสั่งซื้อสั่งขาย แล้วเรามานั่งรอรับตังค์สบายๆ โดยไม่ต้องทำการบ้านมาล่วงหน้า ****

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ข้อผิดพลาดของนักลงทุนที่พบบ่อยๆ



1.เลือกหุ้นไม่เป็น ไปซื้อหุ้นปลายแถวและไม่ใช่ผู้นำในตลาด
2.ซื้อหุ้นในขาลงเพราะคิดว่าได้ของถูกทั้งที่กิจการนั้นอาจจะใกล้เจ๊งเต็มที 
3.ซื้อหุ้นถัวเฉลี่ยขาลง เพราะเหมือนกับการเอาเงินดีไปรวมกับเงินแย่ แทนที่จะกำไรกลายเป็นขาดทุนไปเรื่อยๆ 
4.ซื้อหุ้นโดยดูจากราคา เพราะคิดว่าได้จำนวนหุ้นมากกว่า เช่น หากเรามีเงินลงทุน100บาท ซื้อหุ้นราคา1บาทก็ได้ 100หุ้น แต่ถ้าซื้อหุ้นราคา10บาทจะได้แค่ 10 หุ้น ซึ่งบางครั้งหุ้นราคาต่ำกว่าอาจไม่ใช่หุ้นที่ดีในอุตสาหกรรมนั้นก็ได้ แถมยังมีการเคลื่อนไหวขึ้นลงของราคาเร็วกว่าด้วย 
5.ซื้อหุ้นโดยไม่มีความรู้ ไม่ลงทุนศึกษาพื้นฐานหรือเทคนิคอล 
6.เชื่อข่าวลือ หรือเชื่อข่าวท่านเค้าบอกมา 
7.เฟ้นหาเฉพาะหุ้น P/E ต่ำ ซึ่งบางทีหากเราคิดว่าราคาหุ้นมันยังไม่ไปไหนมันอาจจะต่ำเพราะกำไรต่ำเตี้ยนั่นเอง 
8.ซื้อหุ้นเฉพาะชื่อที่คุ้นเคย ซึ่งบางครั้งหุ้นชื่อแปลกๆอาจเป็นเพชรในตมก็ได้ 
9.นักลงทุนมากกว่า98%กลัวที่จะซื้อหุ้นที่ทำnew high เพราะเขารู้สึกว่ามันแพงเกินไปแล้ว ซึ่งข้อนี้เป็นเพียงความรู้สึกของนักลงทุนเท่านั้น 
10.เมื่อซื้อหุ้นผิดตัวแล้วเกิดการขาดทุน ก็จะดึงดันถือสถานะนั้นไปเรื่อยรอจนขาดทุนเยอะๆแล้วจึงตัดใจขายทิ้ง นั่นทำให้เจ๊งหนัก 
11.นักลงุนมักจะขายหุ้นที่มีกำไรออกมาก่อนตัวที่ขาดทุน เพราะพอหุ้นขึ้นทนรวยไม่ได้ แต่เมื่อหุ้นลงกลับเป็นศรีทนได้ 
12.นักลงทุนบางคนมัวแต่กังวลเรื่องคอมมิชชัน แท้ที่จริงเราควรกังวลถึงกำไรสุทธิมากกว่า 
13.นักลงทุนจะซื้อหุ้นโดยตั้งbidรอ ไม่กล้าโยนofferทำให้เราอาจเสียโอกาสทำกำไรหรือควบคุมจุดขาดทุนไม่ได้ 
14.ตัดสินใจไม่ได้และมีความลังเลว่าจะซื้อหรือขายดี เพราะไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ By: William O'Neil จากหนังสือ "How to Make Money in Stocks

วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

20 ข้อ ที่ควรให้ลูกรู้และปฏิบัติก่อนอายุ 45


20 ข้อ ที่ควรให้ลูกรู้และปฏิบัติก่อนอายุ 45

1. ไม่ต้องตั้งใจเรียนมากไปในสายวิชาที่ตนเลือก แต่ภาษาอังกฤษ จำเป็นมากๆ จงให้ใส่ใจ ส่วนวิชาอื่นๆ เอาแค่ดีพอหางานดีๆทำก็พอ เพราะโลกแห่งความเป็นจริง วัดกันที่ผลงาน ไม่ใช่ที่เกรด
ภาษาอังกฤษสร้างผลงานได้

2. การทำกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยนั้นสำคัญมากพอๆ กับการคร่ำเคร่งหน้าตำราเรียน

3. เลือกงานที่เราชอบนั้นใช่ แต่อย่าลืมด้วยว่า อาชีพนั้น..
สามารถเลี้ยงดูตัวเราได้จริงหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ก็อย่าหลอกตัวเอง

4. เมื่อถึงวัยทำงาน ใครเก็บเงินก่อน รวยเร็วกว่าและสิ่งสำคัญ
ที่ต้องจำไว้ คือ "ชีวิตที่ไม่มีหนี้ คือชีวิตที่ประเสริฐที่สุด"

5. หาเป้าหมายในชีวิตให้เจอโดยเร็วที่สุด เพราะมันจะเป็นเครื่องนำทางของคุณ ในชาตินี้ตลอดไป

6. ซื้อบ้านก่อน ที่จะซื้อรถ เพราะบ้านมีแต่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น รถมีแต่มูลค่าลดลง ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า รถ=ลด

7. ดอกเบี้ยบ้านนั้นมหาโหดมาก รีบใช้ให้หมดโดยเร็วพลัน ก่อนที่จะแก่ แล้วผ่อนไม่ไหว

8. การเก็บเงินเป็นแค่บันไดขั้นแรก
สู่ความร่ำรวย แต่ขั้นต่อมา คือ ต้องรู้จักลงทุน. อย่าลืมคบกับที่ปรึกษาการเงินไว้เป็นเพื่อน

9. อย่าเป็นศัตรูกับใครก็ตามบนโลกใบนี้ เพราะคุณจะไม่มีทาง รู้ว่าวันหนึ่งเขาอาจจะยิ่งใหญ่มาก จนกลับมาทำร้ายคุณก็เป็นได้

10. คอนเน็คชั่นหรือสายสัมพันธ์เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ต่อให้เก่งแค่ไหน ก็สู้การมีเพื่อนเยอะไม่ได้

11. ควรมีงานทำมากกว่า 1 งาน
เพราะความมั่นคง ไม่เคยมีบนโลกใบนี้

12. อย่าคิดว่าตัวเองทำอะไรได้แค่อย่างเดียว
เพราะความสามารถของคนเรา มีมากกว่า 1 เสมอ

13. เมื่อมีโอกาสใดก็ตามเข้ามา
จงอย่าปฏิเสธ ถึงจะล้มเหลว แต่มันก็คือ ประสบการณ์

14. สร้างเนื้อ สร้างตัว
ให้ได้เร็วที่สุด ในขณะที่คุณยังมีกำลัง ยังเป็นหนุ่ม-สาว เพราะการฝ่าฟันอุปสรรคในช่วงอายุมาก ไม่ใช่เรื่องสนุก

15. ออกเดินทางท่องเที่ยวตั้งแต่ยังหนุ่มสาว
เพราะเมื่อมีครอบครัว การเดินทางจะเป็นเรื่องยุ่งยากกว่าเดิม

16. เลือกคู่ชีวิต จงคิดให้ดีๆ อย่าดูแต่ข้อดีของเขา แต่ต้องดูด้วยว่าเราสามารถรับข้อเสียของเขาได้มากแค่ไหน

17. การมีแฟน หรือสามีภรรยา ยังเลิกกันได้ แต่ความเป็นพ่อแม่ลูก นั้นเลิกกันไม่ได้ เพราะฉะนั้น ควรดูแลพวกเขาให้ดีๆ

18. ความสำเร็จที่มากมายแค่ไหน ก็ไม่สามารถ
ทดแทนความล้มเหลวของครอบครัวได้

19. ลองหาเวลาอยู่ว่างๆ ไม่ต้องทำอะไรเลยดูบ้าง อย่าแบก
โลกทั้งใบไว้คนเดียว และอีกอย่างงานก็ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต

20. สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญอันหนึ่ง โปรดถนอม
ตัวเองให้มาก เมื่อยังเป็นวัยรุ่น อย่าใช้ชีวิตให้หนักเกินไป

# หากคิดว่าโพสต์นี้มีประโยชน์ !!
กรุณาเเบ่งปันให้สักคนรับรู้