วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2558

อนาคตหุ้นมือถือ


ไม่น่าเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อแล้วว่า ยิ่งระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ ก้าวสู่ความทันสมัยในระบบ 4 จี แต่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อหลักทรัพย์ของบริษัทผู้ประกอบการมือถือทั้งหลาย กลับคลอนแคลนลงเป็นอันมาก

มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรก็ไม่รู้ เพราะตอนช่วงพัฒนาการจาก 2 จี มาเป็น 3 จี ความเชื่อมั่นต่อหุ้นมือถือมีสูงมาก 3 จี นั่นแหละคือจุดขายเชียว

ราคาหุ้นของบริษัทผู้ประกอบการมือถือตั้งแต่ต้นปี 58 มาถึงปัจจุบัน ต่ำเตี้ยเรี่ยดินลงเป็นอันมาก

ค่ายมือถือADVANC ราคาปรับลง 20% พี/อีขณะนี้อยู่ที่ 15 เท่า

TRUE ซึ่งน่าจะแข็งแรงจากการเพิ่มทุนของไชน่า โมบายล์ และมีอนาคตกับธุรกิจโทรมือถือมากที่สุด เพราะไม่ต้องไปกินน้ำใต้ศอกใครแล้ว ราคาก็ลดลงมา 26% พี/อีอยู่ที่ 33 เท่า

DTAC ผู้พ่ายแพ้การประมูลรอบคลื่นความถี่ 1800MHz และก็ยังไม่รู้ว่ารอบประมูลใหม่ที่คลื่น 900MHz จะเข้าสู้สุดตัวหรือเปล่าเนี่ย ราคาปรับตัวลงมามากที่สุดถึง 52% เลยทีเดียว พี/อีปัจจุบันอยู่ที่ 15 เท่า

นอกจากนั้น JAS หรือจัสมิน ซึ่งทำธุรกิจบรอดแบนด์ อินเทอร์เน็ตอยู่ดีๆ แต่พอประกาศตัวเข้าสู้ประมูลเท่านั้นแหละ ราคาก็ร่วงกราวจนบัดนี้ลงมาถึง 35%

พี/อีแสนจะต่ำมาก แค่ 2 เท่าเศษเท่านั้นเอง

นี่ถ้าเกิด JAS ประมูลได้คลื่น 900 ราคามิถล่มทลายไปมากกว่านี้หรือ

น่าคิดมาก สำหรับ JAS ซึ่งกูรูด้านโทรคมนาคมหลายท่านอย่างอาจารย์บวร ปภัสราทร ท่านบอกว่า JAS นี่แหละคือตัวจริงเสียงจริงของ 4 จี เลย

เพราะการวางโครงข่ายบรอดแบนด์ใช้กับอินเทอร์เน็ตทั่วประเทศในเวลานี้ ก็เหมือนกับสร้างถนนเผื่อไว้แล้ว โทรเคลื่อนที่ 4 จี เปรียบได้กับรถอีกขบวนหนึ่ง จึงสามารถจะวิ่ง 2 ขบวนไปด้วยกันได้เลย

แต่นักลงทุนหาได้มองจุดนี้ไม่

สิ่งที่นักลงทุนมองหุ้นมือถือในแง่ลบมากที่สุดก็คือ ราคาประมูลแพงไปมาก

ADVANC ได้คลื่นความถี่ชุดที่ 2 ไปในราคา 40,986 ล้านบาท และ TRUE ได้คลื่นความถี่ชุดที่ 1 ไปในราคา 39,792 ล้านบาท

ประมูลใหม่ รอบชิงคลื่น 900MHz ในวันที่ 15 ธ.ค.ที่จะถึงนี้ ราคาประมูลก็คงไม่มีวันต่ำกว่ารอบที่แล้วแน่ และก็มีแนวโน้มจะสูงกว่าด้วยซ้ำ

เพราะหากใครพลาดรอบนี้ไป ก็ต้องไปรอประมูลใหม่ในปี 2561 ซึ่งคลื่น 1800 ของDTAC จะหมดอายุลง ซึ่งอนาคตตอนนั้นไม่แน่ไม่นอนสูง

ใครที่ไม่มีคลื่น 4 จี ไว้ในครอบครองเลยสักใบ หากจะคิดไปเข้าตลาดตอนนั้น ก็ต้องกลายเป็นมวยรองบ่อน ไปโกยลูกค้าหลังเพื่อนเขาทำตลาดไปล่วงหน้าก่อนแล้ว

อันที่จริงใบอนุญาต 4 จี รอบแรกที่ผ่านไป เฉลี่ยใบละ 4 หมื่นล้านบาท ก็ไม่ได้เป็นต้นทุนที่แพงอะไรมาก เมื่อเปรียบเทียบกับต้นทุนอันเป็นค่าต๋งในระบบสัมปทาน

เมื่อก่อนนี้ ค่ายดีแทค-แอดว๊านซ์ จ่ายค่าสัมปทานตลอดอายุสัมปทานช่วง 20-25 ปี เป็นมูลค่าเจ้าละประมาณ 2 แสนล้านบาท

คลี่ออกเป็นรายปีก็ตกเฉลี่ยปีละ 8,000-10,000 ล้านบาท ก็ยังสามารถทำกำไรมหาศาลในเวลาอันรวดเร็วยิ่งกว่าธุรกิจเก่าๆ เป็นไหนๆ           

แต่ระบบใบอนุญาตที่เพิ่งผ่านกันไป จ่ายกันตกเฉลี่ย 4 หมื่นล้านบาทเท่านั้น ในอายุใบอนุญาต 18 ปี

ลองคลี่ออกมาเป็นรายปี ต้นทุนใบอนุญาตก็จะตกราว 2,200 ล้านบาทเท่านั้น

มันถูกกว่า 8 พันล้านบาท หรือ 1 หมื่นล้านบาทในระบบสัมปทานเดิมเป็นไหนๆ ในขณะที่ช่องทางทำมาหากินของโทร 4 จี มันหากินได้คล่องกว่าระบบ 2 จี หรือ 3 จี เดิมแน่นอน

นอกจากนั้น ในยุคปัจจุบัน ผู้ประกอบการสามารถจะนำทรัพย์สินโครงข่ายมาตั้งกองทุนอินฟราสตรักเจอร์ ฟันด์ได้

อันจะช่วยลดภาระต้นทุนการเงินได้มหาศาล

สรุปแล้ว ผมว่านักลงทุนเรา ตลอดจนนักวิเคราะห์ทั้งหลาย น่าจะมองหุ้นมือถือหรือหุ้นสื่อสารในแง่ลบมากเกินความจริงไปสักหน่อยนะ

ขอช่วยทบทวนหุ้นมือถือบนพื้นฐานความจริงอีกสักทีเถอะ

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558

การเทรดหุ้น IPO


หุ้น IPO ที่เพิ่งเข้าตลาดวันแรก จะยังไม่มีกราฟให้ดูอะไรทั้งสิ้น
การเล่นนั้นแสนจะเรียบง่ายดังนี้

1. เปิดตลาดมาแล้ว ยืนเหนือราคาเปิดได้ค่อยซื้อ  ถ้าร่วงหลุดราคาเปิดอย่ายุ่ง

2. ซื้อแล้วต้องยืนเหนือราคาเฉลี่ยระหว่างวัน Average Price  ถ้าหลุดราคาเฉลี่ย ขายทันที

3. ถ้าราคายืนเหนือราคาเฉลี่ยได้ แต่พอตอนบ่ายเริ่มนิ่งๆ นานถึง 15:30 น ขายทันที เพราะจะร่วง

4. ถ้าราคาขึ้นไปถึงจุดสูงสุด แล้วย่อลงมา แล้วขึ้นไปที่จุดนั้นอีก 2 ครั้งแล้วย่ออีก ( Tripple Top แล้วไม่ผ่าน ) ทิ้งทันที เพราะจะร่วง

5. ถ้าไม่หลุดกฎข้างบนเลย ให้อมเก็บข้ามวันได้ แล้ววันต่อมาเริ่มใช้กฎ 70% Profit Protection ร่วมกับ Trailing Stop loss ครับ

Trailing stop loss 
http://www.youtube.com/watch?v=K0DRHmNKYpM&sns=em

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2558

Clip สอนพื้นฐาน เทคนิคัล ... ว่างๆ ลองดู สั้นๆ 10-15 นาที เข้าใจง่าย

Clip สอนพื้นฐาน เทคนิคัล ... ว่างๆ ลองดู สั้นๆ 10-15 นาที เข้าใจง่าย
5 ตอน !!!!
Technical Analysis พิชิตจังหวะลงทุน ตอนที่ 1 สร้างความมั่งคั่ง ด้วยความลับของการจับจังหวะลงทุน https://www.youtube.com/watch?v=CiPGzDtJEDU
Technical Analysis พิชิตจังหวะลงทุน ตอนที่ 2 ราคาเป้าหมาย ค้นหาได้ด้วย Trend Line https://www.youtube.com/watch?v=IHr3pNwnymI
Technical Analysis พิชิตจังหวะลงทุน ตอนที่ 3 ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ลงทุนด้วย Price Pattern https://www.youtube.com/watch?v=qaex_VBbjmE
Technical Analysis พิชิตจังหวะลงทุน ตอนที่ 4 จับจังหวะซื้อขายด้วย MACD https://www.youtube.com/watch?v=IBZ6y_ZPvOo
Technical Analysis พิชิตจังหวะลงทุน ตอนที่ 5 ซื้อมากเกิน ขายมากไป วิเคราะห์ได้ด้วย RSI https://www.youtube.com/watch?v=RLUihBD6JM8#t=20
สูตรในการเล่นหุ้นซิลลิ่ง(ผลรับรอง~50%)
-เปิดตลาดเช้าดูticker เลือกตัวที่เห็นบ่อยๆมา5ตัว
-EfinกดF6สแกนหุ้น ใส่ชื่อหุ้นมันจะบอก%CMPR
เปลี่ยนวิธี(วิธีนี้ได้ผล 80 เปอร์เซ็นต์)
-ตื่นมา 10.00 เปิดหน้า ticker คู่กับหน้า scan F6 นั่งจดหุ้นที่วิ่งเยอะ ๆ จนถีง 11 โมง แล้วเอามาเปรียบเทียบกับ F6 ว่ามีตัวไหนตรงกันบ้าง ดูตัวที่เปอร์เซ็น CMPR เยอะๆ เกิน 500 ยิ่งดี
-เก็บหุ้นไว้ในwatch list เราก็คอยตามดู%ในportfolioได้
(*CMPR = Compare Average Volume 5 วัน คือ %vol เทียบกับ เมื่อเทียบกับ 5 วันที่ผ่านมา เป็นการสะสมวอลุ่มที่มากขึ้นเรื่อยๆครับ หากสูงแสดงว่าเล่นกันเยอะในวันนั้น เช่น 500% คือ 5 เท่าของค่าเฉลี่ย 5 วัน)
-ควรเล่นในกลุ่มที่กำลังขึ้น และราคายังไปต่อได้ ฉะนั้นควรเล่นในช่วงตลาดขาขึ้น
-พวกที่จะซิลลิ่งได้ จะมีโวลุ่มไม่มาก และไม่ใช่หุ้นมหาชน(เพราะเจ้าลากไปซิลลิ่งไม่ไหว) ส่วนใหญ่ เป็นหุ้นตัวเล็กๆ
สรุปคือ พอมาดู พอร์ตโฟลิโอแล้ว เจอหุ้นที่วิ่งมาสัก 15 เปอร์เซ็นต์ เข้าเลย เข้าแล้วไม่ต้องตกใจ บางทีมันไหลลงมา 2-3 ช่อง ลงเร็ว เดี๋ยววิ่งต่อ เข้า15% แล้ว21%มักขายครึ่วนึงก่อน
-*วิธีเล่น คือ ทยอยขาย*
-watch list 5ตัว แต่เล่นจริงๆ2-3ตัวก็พอ
-ก่อนหน้าจะเล่น ดูแนวรับแนวต้านเก่าด้วยก็จะยิ่งดี ควรดูกราฟไว้ตั้งแต่คืนก่อนเปิดตลาด หาข่าวinside
-จุดสำคัญคือ ต้องคัทให้ทัน ภายใน 2-3 ช่อง โดยตั้งMP(market price)เลย
-ยกตย. อย่างหุ้น กลุ่มเนชัน(nmg nine nbc) วันศุกร์ม้นวิ่งไปสองตัว เชื่อมั้ยว่า วันอังคาร ตัวที่เหลือ ต้องมา
-สรุป**
กฏข้อแรก ดู ticker
กฏข้อสอง เล่นตอน 11 โมง
กฏข้อสาม เลือกหุ้นที่ได้เปอร์เซ็นต์จะซิลลิ่ง
กฏข้อที่สี่ ขายตรงซิลลิ่งให้ได้
(ช่วงเช้าๆบางที ที่โวลุ่มเข้า จะเป็นการซื้อหรือขายออก มันจะเหวี่ยงแรงๆ %CMPR อาจจะไม่ชัดเจน แต่พอ 11 โมง จะมีหุ้นตัวเด่นๆเริ่มฉายแววออกมา ช่วงบ่ายให้เข้าหุ้นที่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์ไปแล้ว
+รวยหุ้นด้วยกราฟ++
http://issuu.com/pairoj/docs/_______________-issuu
++คู่มือการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดย สุรชัย ไชยรังสินันท์http://inv4.asiaplus.co.th/cms/index2.php…
01. เทคนิคการอ่านแนวโน้มหุ้น ด้วยกราฟเทคนิคคอลเพื่อหาสัญญาณจุดซื้อ-จุดขาย และการติดตามแนวโน้มหุ้น
https://www.facebook.com/video.php?v=729833050430067&set=vb.100002101358163&type=2&theater
02. สอนการตั้งค่าเส้นเฉลี่ย Ema. / เทคนิคหาจุดซื้อจุดขายรูปแบบต่างๆema.5/10/20 days & ema.50 days
https://www.facebook.com/video.php?v=730583087021730&set=vb.100002101358163&type=2&theater
03. แนะนำการใช้โปรแกรม eFin. Smart Portalสำหรับเทรดหุ้น หาจังหวะเข้าซื้อขายทำกำไรด้วยกราฟ Week / ชุดเส้นค่าเฉลี่ย SMA. / การวัดระดับ Fibonacci 
https://www.facebook.com/video.php?v=736172266462812&set=vb.100002101358163&type=2&theater
=>จิตวิทยาการลงทุน
https://www.youtube.com/playlist?list=PL82F34B18B3D7B966
คุณลุงโฉลก สอน Fibonacci & Elliott Wave
จบจากคลิปนี้ คุณจะเจอหลายๆคลิปต่อเนื่อง เช่น Swing Trading และ Position Trading ที่บรรยายจากลุง น่าสนใจไม่แพ้กัน
คนเก่งจริงมักจะพูดอะไรง่ายๆ ใช้ภาษาง่ายๆ เข้าใจง่าย
ดูเพื่อใช้เป็นแรงบันดาลใจ เพื่อศึกษาเพิ่มเติมครับ
https://www.youtube.com/watch?v=YYIaCcRWn7o
กลยุทธ์การเล่นหุ้น ในช่วงเวลาที่ดีและเลวร้ายของคุณ: http://youtu.be/vzd52PJy58s
ลองฟังคลิปนี้ดูนะครับ เพื่อน ๆ การลงทุนที่ดีที่สุดของมนุษยเงินเดือน
ตอนที่1 http://youtu.be/kfK0PTe-kGk
ตอนที่ 2 http://youtu.be/SlPBDPtXhOI
ตอนที่ 3 http://youtu.be/VcG1ea7dhUI
ตอนที่ 4 http://youtu.be/VuMZcYCL1DY
ตอนละ 15 นาทีเอง ดูหลายๆรอบ เห็นด้วยก็ทำตาม ไม่เห็นด้วยก็ลืมๆ มันไปซะ (big smile) เป็นทางเลือกหนึ่งในการลงทุน แต่ต้องเข้ากับจริตเราด้วย
Elliott Wave คลื่นแห่งโอกาสและเพื่อนผู้เตือนเรา(พื้นฐาน)
สวัสดีครับกลับมาเจอกันอีกครั้ง ในบทความนี้จะพูดถึงการอ่านคลื่นมหัศจรรย์ที่สามารถบอกจังหวะและเตือนเราว่าช่วงนี้ช่วงนั้นตลาดหรือหุ้นที่เราสนใจหรือถืออยู่ควรถือต่อหรือควรออกหรือควรเข้าหรือไม่
และเคยรู้สึกไหมว่ารูปแบบต่างๆที่เกิดขึ้นเป็นคลื่นวนเวียนกลับไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า(สำหรับผู้ที่สังเกตุ) และเคยได้ยินไหมครับว่าประวัติศาตร์ซ้ำรอย(History Repeat Itself) ถึงแม้ว่าจะไม่ถูกต้อง 100% แต่เราสามารถใช้ทำนายอนาคตได้เช่นกัน และเหตุผลที่เกิดก็เพราะจิตวิทยาการ ซื้อ-ขาย เพราะเราซื้อขายจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกันถึงแม้ว่า ณ ปัจจุบันจะเริ่มมีการนำ Robot มาใช้ในการ Trade แต่ยังเป็นส่วนน้อยอยู่
ดังนั้นพื้นฐานของ Elliott Wave จะมีความสำคัญและช่วยเราได้และจะมี 5 คลื่น 1 2 3 4 5 และ 3 คลื่น A,B,C
5 คลื่น 1 2 3 4 5 คือ Motive Phase
Wave 1 คือคลื่นที่เริ่มต้นมาจากการ breakout downtrend หรือ sideway เป็นการเริ่มต้นของคลื่นรอบใหม่ โดยปกติทาง Chartychology Trader จะไม่เข้าที่ wave นี้เพราะการที่ทำ breakout downtrend หรือ sideway ขึ้นมาได้เกิดจาก 3 ส่วนคือ
1.Accumulated Trader คือนักลงทุนระยะยาว(VI)
2.Position Trader หรือ Momentum Trader คือ นักลงทุนเก็งกำไรที่ทำให้มีแรง...ดันราคาขึ้นไปได้
3.Novice Trader คือ นักลงทุนมือใหม่หรือที่เขาเรียกว่าแมงเมา เอ้ย!!!! แมงเม่าครับ Novice Trader นี้จะซื้อขายตามอารมณ์ ตามข่าว ตามกระแส ฯลฯ
เพราะเมื่อไรที่ Novice Trader เข้าซื้อจนถึงจุดอิ่มตัวของช่วงนึงแล้ว Momentum Trader จะขายทำกำไรออกมาทำให้ราคาย่อตัวและทำให้ Novice Trader บางส่วนขายตาม
Wave 2 คือคลื่นที่ย่อลงมาจากคลื่นลูกแรกเพราะเกิดจากขายทำกำไรจากที่กล่าวมาข้างต้นและต่อจากนี้ไปจะเป็นเวลาของ Chartychology หรือ Swing Trader เข้าซื้อที่คลื่นนี้หรือที่เรียกคลื่นนี้ว่า First Pullback แต่การเข้าซื้อจะต้องดู Price Pattern ก่อนและต้องประกอบด้วย Support Area(สำหร้บ Long Position)
บทความเรื่อง Price Action ตาม link เพื่อทบทวน ตอน 1 2 3 4 5 6
Wave 3 คือคลื่นที่ยาวที่สุดและแข็งแรงที่สุดในบันดา 5 คลื่น คลื่นนี้จะเป็นที่น่าสนใจสำหรับทุก Traders และทาง Chartychology จะเกาะหรือขี่ไปกับคลื่นนี้ไปจนจบคลื่นเพราะจะเป็นช่วงที่จะทำกำไรได้ค่อนข้างมาก StockMoneyGear รัก Wave 3!!!
Wave 4 คือคลื่นที่จะใกล้จบรอบของ Elliott Wave เป็นคลื่นที่ย่อลงมาจากคลื่นลูกที่ 3 เหตุผลโดยส่วนมาก(ในกรณีไม่มี bias จากภายนอกเช่น ข่าวร้าย นักลงทุน panic ฯลฯ)จากการที่นักลงทุนบางกลุ่มเข้าซื้อในช่วงปลายคลื่นลูกที่ 3 เลยขายทำกำไรออกมาก่อนเพราะรู้ว่าราคาใกล้จะจบรอบแล้ว
Wave 5 คือคลื่นลูกสุดท้ายคือการวิ่งขึ้นก่อนที่จะลงไปเป็นคลื่น A ถามว่าสามารถเข้าเก็งกำไรในคลื่นลูกได้ไหม ตอบว่าได้แต่จะต้องระวังตัวมากกว่าทุกๆคลื่น
3 คลื่น A B C คือ Corrective Phase
Wave A คือคลื่นที่ย่อจากคลื่นลูกที่ 5 ซึ่งจะจุดเริ่มต้นที่จะก่อเกิด downtrend
Wave B คือคลื่นที่เกิดการ rebound แต่จะไม่ทำ new high ที่คลื่นลูกที่ 5 ถ้าเกิดแบบนี้ให้เห็น ต้องระวังให้มากๆนะ เขากำลังเตือนท่านอยู่และเขาก็รักท่านนะไม่อยากให้ล้มเหลวหรือขาดทุน
Wave C คือคลื่นที่ยืนยันการเป็นขาลงหรือจบรอบ Elliott Wave อย่างสมบูรณ์ในช่วงนั้นๆ พอถึงคลื่นนี้ให้เฝ้าดูและรออย่างอดทนเพื่อหาโอกาสในครั้งต่อไปคร้าบบบบ
ตัวอย่างคร้าบ
สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นเป็นพื้นฐานของเรื่อง Elliott Wave ง่ายแต่ทรงพลังมากๆนะครับ ถ้าเป็นทษฎี Elliott Wave ขั้น Advance จริงๆนั้นมีรายละเอียดมากกว่านี้ ถ้ามีความสนใจสามารถค้นหาอ่านตาม Internet ได้มากมายเพื่อต่อยอดจากบทความนี้
สรุปสิ่งที่กล่าวมา คลื่นที่ทำให้เราประสบความสำเร็จมากที่สุดคือ Wave 3 ส่วนคลื่นที่หวังดีกับเรามากที่สุดคือ Wave B ส่วนคลื่นที่น่ากลัวที่สุดคือ Wave C
คำถามคือ...คุณจะเลือกข้างไหน?
ยิ่งอ่าน ยิ่งเก่ง 
ยิ่งฝึก ยิ่งเก่ง 
ยิ่งเมตตา ยิ่งเป็นที่รัก 
ยิ่งสร้าง ยิ่งรู้จัก 
ยิ่งให้ ยิ่งได้
by StockMoneyGear

วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2558

NPARK - ตั้งต้นชีวิตใหม่ ?



ถ้าถามว่าหุ้น NPARK ไม่เหมาะกับคนที่คิดจะเล่นสั้นๆเก็งกำไรหรอกหรือ?? 
คือถ้าอยากจะมานั่งต่อคิว ATC กินวันละช่อง ถ้าคิดว่าทำได้และเร็วพอก็เอาเถอะ ! 
แต่ถ้าเบื่อกับชีวิตแบบนั้น ก็บอกได้แต่ว่า หุ้นตัวนี้จะไปได้ตอนไหน " มันไม่มีใครรู้ไง " รู้แต่ว่ามีข่าวเกี่ยวกับอะไรใหม่ๆ ? แต่สุดท้ายแล้วผลตอบแทนจะได้เมื่อไหร่ต้องรอกันเอาเองนะ....

มาดูว่ามันมีข่าวอะไรมาอัพเดทบ้าง ?

เรื่องราวครั้งเก่าก่อนว่าบริษัทผ่านร้อนผ่านหนาว และผ่านการเพิ่มทุนมามากครั้งขนาดไหนคงไม่ต้องเล่าแล้วนะ เพราะมันบ่อยมากเสียจน NPARK กลายเป็นหุ้นที่มีจำนวนหุ้นจดทะเบียนมากที่สุดในตลาดไทยไปแล้ว !

คราวนี้ NPARK สร้างเซอไพรส์ให้กับนักลงทุนด้วยการประกาศ swap หุ้นของตนกับที่ดินของ BTS ทำให้หากดีลนี้ผ่านมติผู้ถือหุ้น BTS จะเข้ามาถือหุ้น NPARK ระหว่าง 33-37%
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกงง ว่า ทำไมถึงถือแค่นี้ เพราะมันดูน้อยเกินไป ไม่สามารถควบคุมการบริหารได้ ตอนนั้นคนก็มองกันแค่ว่ามันมีการออก วอแรนท์ให้กับ BTS ด้วย 
ดังนั้นอาจเป็นไปได้ว่า BTS อาจรอให้แน่ชัดว่าการเข้ามาทำธุรกิจผ่าน NPARK จะไปรอดหรือไม่ ถ้าไปได้สวยก็ใช้สิทธิวอแรนท์ของตนเพื่อถือหุ้นเพิ่มขึ้น

แต่ก้อรู้สึกแปลกๆตั้งแต่ตอนนั้นแล้วนะ และเชื่อว่า BTS ไม่มีทางถือแค่นี้แน่นอน มีหลายต่อหลายครั้งที่เจ้าของ BTS จะเข้าซื้อหุ้นตัวที่ตัวเองสนใจควบคู่ไปด้วยเสมอ 
และประเด็นนี้ก็เกิดความกระจ่างขึ้นมาเพราะเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา มีการทำ big lot หุ้น NPARK-F เป็นจำนวนมาก คิดเป็นเปอร์เซนต์สูงถึงกว่า 15% ของทุนจดทะเบียน

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครซื้อ คงไม่มีใครคิดจะเข้ามาซื้อ NPARK แข่งกับ BTS อยู่แล้ว 
ฉะนั้นผู้ซื้อก็คงต้องเป็นบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับ BTS แต่เชื่อว่าน่าจะใช้ชื่อเป็น nominee มากกว่า น่าจะเป็นการตั้งเป็นกองทุนส่วนบุคคลที่ต่างประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกัน

แต่ท้ายที่สุด มันแทบจะชัวร์ว่าการโยน big lot ก้อนโตดังกล่าว คงเป็นการซื้อของกลุ่มเกี่ยวข้องกับ BTS เพื่อให้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการบริหารงาน NPARK นับจากนี้
เจ้าของ BTS บอกเสมอว่า เขาชอบการทำธุรกิจอสังหาแบบเก็บกินระยะยาวมากกว่าการทำแบบฉาบฉวย ด้วยเหตุนี้ การเข้าซื้อ NPARK นั้นอาจจะไม่ได้แค่คิดซื้อมาเล่นๆ โดยมีความต้องการให้ NPARK กลายมาเป็นแขนขาหลักในการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า และโรงแรม ของ BTS นับจากนี้เป็นต้นไป

แค่นี้ก็คงรู้แล้วนะว่า NPARK อาจจะไม่ใช่บริษัทเลื่อนลอยไม่มีผู้ถือหุ้นใหญ่อีกต่อไป การเข้ามาของ BTS แบบจริงจังนี้น่าจะทำให้ NPARK ดูดีขึ้นเป็นกอง และที่สำคัญก็คือ BTS ไม่ได้ต้องการมาแสวงหาผลประโยชน์จากที่ดินบางกระเจ้าและโรงภาษีร้อยชักสามของ NPARK แต่ต้องการใช้ NPARK เป็นหน่วยธุรกิจอย่างหนึ่งของบริษัท

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการพลิกฟื้นครั้งใหม่ของ NPARK เท่านั้น ไม่ได้บอกว่า มั่นใจล้านเปอร์เซนต์ จัดไป ซื้อ NPARK ไปเลย ไม่ใช่อย่างนั้น แต่กำลังจะบอกว่ามันกลายเป็นหุ้นที่เราต้องติดตาม !

แต่ ที่เราต้องระวังก็คือ นับจากนี้ เราน่าจะได้เห็นการใช้กรรมวิธีทางการเงินอีกหลายอย่างเพื่อให้ NPARK กลับมาเป็นผู้เป็นคนได้ โดยสิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยก็คงเป็น "การรวมพาร์เพื่อลดจำนวนห้น" ที่มีอยู่ให้มันน้อยลง เพราะ หลังการสวอปหุ้น NPARK จะมีหุ้นเกือบ 6 แสนล้านหุ้น มันยากต่อการไล่ราคา โดยเฉพาะหาก BTS ไม่ทำอะไรเลย

หลายคนอาจบอกว่า ทำไมรอบที่แล้วยังขึ้นไปได้ตั้งเยอะ คุณลองย้อนไปดูเลยนะ รอบที่ผ่านมาคุณประชาเข้ามาซื้อหุ้นผ่านชื่อของตัวเองและนอมินีอีก 2 ราย ถ้าคำนวณกันดีๆแล้ว คุณประชาถอนทุนคืนไปหมดตั้งแต่ต้นแล้ว ที่เหลืออยู่ในกระดานคือ "กำไร" เท่านั้น

แต่ BTS ไม่ใช่คุณประชา เมื่อ BTS เข้ามาถือ NPARK และหวังผลในอนาคต เขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบเร่งสร้างราคาหุ้น เพราะเขาก็ไม่รีบขาย และแม้ราคาหุ้นจะขึ้นไปมากเท่าไหร่ BTS ก็ยังไม่ได้ประโยชน์เพราะการถือหุ้น 37% ไม่ต้องรวมงบ แต่เป็นการรับรู้กำไรขาดทุนตามสัดส่วนการถือหุ้น ซึ่งในระยะแรก NPARK น่าจะยังขาดทุนอยู่ ดังนั้น งบ BTS จะต้องรับรู้ขาดทุนไปด้วย

ทั้งนี้ถ้ามีการไล่ราคาหุ้นจึงไม่น่าจะเกิดขึ้นจากมือของ BTS แล้วคุณคิดว่า ถ้าตอนนี้คนเขารู้กันหมดแล้วว่า BTS เป็นเจ้าของใหม่ถือหุ้นเกือบ 50% (รวมส่วน big lot ที่คาดว่าเป็นบุคคลใกล้ชิดกับ BTS) จะมีเจ้ามือคนไหนอาจหาญจะเข้ามาไล่หุ้น NPARK อีกหรือไม่?? ด้วยหุ้นที่วนเวียนในตลาดมากกว่า 2 แสนล้านหุ้น (ไม่นับส่วนของ BTS) หุ้นมันคงไม่ได้วิ่งกันได้ง่ายๆ

นอกจากนั้นแล้ว  ยังไม่รู้ว่า BTS มีแผนจะทำอะไรกับโครงสร้างทุนของ NPARK อีกหรือไม่ ?

ยกตัวอย่างหุ้นสุดคลาสสิคอย่าง TRUE ที่เวลาเขาคิดจะทำอะไร เขาจะทำเมื่อพร้อมเท่านั้น ก็คงไม่ต่างกับคุณคีรี ถ้าคิดจะทำราคา NPARK ขึ้นมาจริงๆ ก็คงต้องรอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมจริงๆเท่านั้น ซึ่งเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ เราที่เป็นนักลงทุนรายย่อยคงไม่มีทางรู้ ถ้าจะรู้ก็ต้องให้เขาค่อยๆหงายไพ่ออกมาทีละใบแล้วคาดการณ์เอา

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า NPARK นับจากนี้ไปจะไม่เหมือนวันก่อนๆอีกต่อไป เพราะว่ามีคนที่ต้องการเข้ามาทำ NPARK อย่างจริงๆจังๆเสียที เมื่อไหร่ก็ตามที่บริษัทยังคิดที่จะธุรกิจต่อไป ราคาต่ำแค่ไหนมันก็ยังมีความน่าซื้อ

แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่บริษัทเปลี่ยนธุรกิจมา "ทำหุ้น" แล้ว หุ้นตัวนั้นก็ "สิ้นคุณค่า" ที่จะถืออีกต่อไป จะเหลือไว้ก็เพียงภาพการ "เก็งกำไร" ที่รอวันดับสูญเท่านั้นเอง ....

วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2558

7 อุปนิสัยของผู้มี EQ สูง


งานวิจัยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าความฉลาดทางอารมณ์ หรือที่เรียกว่า EQ ( Emotional Intelligence) เป็นตัวชี้วัดความสุขและความสำเร็จในชีวิต
แม้ว่า EQ จะเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น จับต้องได้ยาก แต่มันจะปรากฎออกมา ในพฤติกรรมของแต่ละคน ความสามารถในการเข้าสังคม การรับมือกับสถานการณ์ที่ยาก กระบวนการในการตัดสินใจ และมุมมองในชีวิต เป็นต้น
ปัจจุบันการทดสอบ EQ ทางวิทยาศาสตร์นั้น สามารถทำได้ แต่ก็มีค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตามงานวิจัยจากผู้คนนับพันก็พบว่า มีพฤติกรรมบางอย่าง ที่บ่งชี้ว่าคนเหล่านี้มี EQ ที่สูงกว่าคนทั่วไป
1. สามารถบ่งบอก “ภาวะอารมณ์” ของตัวเองได้
มนุษย์ทุกคนต่างมีอารมณ์ แต่เชื่อไหมว่า มีคนเพียง 36% เท่านั้น ที่จะสามารถบอกได้ว่า ขณะนี้ตัวเองรู้สึกอย่างไร คนทั่วไปไม่เข้าใจอารมณ์ มักปฏิเสธ หรือกดทับอารมณ์ของตัวเอง
คนที่มี EQ สูง จะสามารถบ่งบอก และแยกแยะระดับอารมณ์ได้อย่างละเอียดชัดเจน เช่น ตอนนี้รู้สึกแย่ หงุดหงิด รำคาญ ขุ่นเคือง โกรธ กังวล กระวนกระวาย ว้าวุ่น ฟุ้งซ่าน ยิ่งสามารถอธิบายได้ละเอียดมากเท่าไหร่ แสดงว่าเขารู้จักตัวเองดีมากเท่านั้น
……………………………..
2. มีความสนใจผู้คน และไม่ด่วนตัดสินผู้อื่น
คนมี EQ สูงนั้นจะมีความห่วงใยใส่ใจผู้คนที่อยู่รอบๆตัวของเขา จะไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางในการคิดหรือตัดสินใจ แต่จะมองรอบๆตัวว่าจะทำให้เกิดประโยชน์กับทุกฝ่ายได้มากที่สุดอย่างไร
เมื่อต้องเจอกับคนที่ขี้หงุดหงิด ขี้วีน เขาจะรักษาระดับอารมณ์ไม่ให้ขึ้นไปตามสิ่งที่มากระทบ เขามองว่าคนเหล่านี้อาจกำลังเผชิญกับปัญหาส่วนตัวอยู่ และรู้ว่าไม่มีใครถูกหรือผิดไปซะทุกอย่าง ดังนั้นเขาจะไม่ด่วนตัดสินคน และจะสื่อสารโดยใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์
……………………………..
3. โอบอุ้มความเปลี่ยนแปลง ไม่มองหาความสมบูรณ์แบบ
เขาคือคนที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนแผนได้ตลอด เขารู้ว่าความกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง คืออุปสรรคต่อความสำเร็จและความสุขในชีวิต เขาจึงมองว่าความไม่แน่นอน คือสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ และก็พร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งเหล่านั้น
เขาจะไม่ตั้งเป้าหมายถึงความสมบูรณ์แบบ เพราะรู้ว่ามันไม่มีอยู่จริง แทนที่จะมองว่าตัวเองห่างจากความสมบูรณ์แบบมากแค่ไหน เขาจะมองว่าตัวเองทำอะไรสำเร็จมาแล้วบ้าง และจะทำอะไรต่อไป
……………………………..
4. รู้จักตัวเอง จึงไม่โกรธง่ายๆ
คนที่มี EQ สูงจะรู้ว่าตัวเองถนัดอะไร และจะปรับใช้สิ่งเหล่านั้นมากขึ้นเพื่อสร้างความได้เปรียบ ขณะเดียวกันก็จะเก็บจุดอ่อนเอาไว้ ไม่ให้มาฉุดรั้งตัวเอง เขารู้ดีว่าอะไรเป็นสิ่งที่จะมากดปุ่มให้ตัวเองโกรธหรือเสียใจ และอะไรที่จะสร้างกำลังใจไปสู่ความสำเร็จ เขาจะเป็นผู้ “เลือกตอบสนองต่อสถานการณ์” ไม่ใช่ “เป็นเหยื่อของสถานการณ์” ที่เกิดขึ้น
ไม่ใช่ว่าโกรธไม่เป็น แต่ด้วยความที่เขารู้จักตัวเองดี จึงมีความมั่นใจในและเคารพในตัวเอง ดังนั้นแม้ว่าจะมีใครมาแหย่ให้โกรธ พูดจาดูถูก หรือล้อเลียน เขาจะไม่ถือเป็นอารมณ์ เพราะลึกๆแล้วเขารู้ว่า นั่นเป็นเพราะอีกฝ่ายอิจฉา และรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอต่างหาก
……………………………..
5. รู้ว่าเมื่อไหร่ควรปฏิเสธ
คนมี EQ สูง รู้ความต้องการของตัวเอง และควบคุมตัวเองได้ เขารู้ว่ายิ่งอดทนมากไป ยิ่งจะสร้างความเครียด ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะพูดว่า “ไม่” อย่างสุภาพ โดยที่ไม่รู้สึกแย่หรือกังวลภายหลัง เขารู้ว่าการใช้คำว่า “บางที ไม่แน่ใจ อาจจะ ดูอีกทีนะ” ยิ่งจะทำให้เกิดความคาดหวัง และอึดอัดทั้ง 2 ฝ่าย ดังนั้นเค้าจะให้คำสัญญาหรือตอบรับ ก็ต่อเมื่อเค้าหมายความถึงสิ่งที่พูดจริงๆ
……………………………..
6. ยอมให้ตัวเองผิดพลาดได้
คนมี EQ สูง ตระหนักดีว่า “ความผิดกับตัวเขา” ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ดังนั้นเขาจะให้อภัยตัวเองได้เร็ว เมื่อเกิดความผิดพลาด เขาจะมองหาบทเรียนที่ได้รับ และนำไปปรับปรุงสำหรับครั้งต่อไป เขาไม่ลืมความผิดนั้น แล้วก็ไม่ “จมอยู่กับความผิด” มันจะเป็นเพียงความทรงจำที่เตือนใจไม่ให้ทำผิดซ้ำ และความผิดที่ดูลำบากหนักหนาในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่จะทำให้เค้าลุกขึ้นได้ง่ายและเร็วขึ้นในครั้งต่อไป
……………………………..
7. รู้ว่าเมื่อไรควรหยุด
คนมี EQ สูงนั้นมักจัดสรรเวลา “หยุดพัก” ให้กับตัวเองอย่างสม่ำเสมอ แม้เขาจะทำงานหนัก และมีเรื่องต้องทำมากมาย แต่เค้าก็หาเวลา “ออฟไลน์” ให้กับตัวเองได้ การปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด ออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์และงาน ไม่ต้องติดต่อหรือพูดคุยกับใคร คือการมอบ “ช่วงเวลาเงียบ” ให้กายและใจได้หยุดพักอย่างแท้จริง การที่ได้มีเวลาทบทวน ใคร่ครวญกับตัวเอง ทำให้เขากลับมาทำงานได้อย่างสดชื่น มีชีวิตชีวา และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
………………………………
7 อุปนิสัยของผู้มี EQ สูง ทำให้เราสามารถประเมินตัวเองคร่าวๆได้ว่ายังขาดตกบกพร่องในข้อใด อย่างไรก็ตาม EQ ก็เป็นอุปนิสัยที่สามารถฝึกฝนให้เกิดขึ้นได้ แต่เราต้องกล้าที่จะยอมรับตัวเอง ทบทวนตัวเอง รับฟังเสียงสะท้อนจากผู้อื่น โดยเฉพาะคนใกล้ตัว
.........................
บทความนี้อ้างอิงจาก Travis Bradberry ผู้เขียนหนังสือ Emotional Intelligence 2.0 เรียบเรียงโดย "เรือรบ"

วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2558

รายชื่อหนังสือ ๑๐ เล่มที่ดาวน์โหลดมาอ่านได้ฟรี


1. หนังสือ "เปลี่ยนหนี้เป็นอิสรภาพทางการเงิน" โดย Money Coach อาจารย์ จักรพงษ์ เมษพันธุ์
http://jakkapong.wordpress.com/%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%94/
2. หนังสือ "ชีวิตเปลี่ยน เพราะการลงทุน" 
http://www.set.or.th/yourfirststock/newlife_investor.pdf
3. หนังสือ "รู้จักสไตล์หุ้น.. เพื่อเลือกลงทุนให้โดนใจ" 
http://www.tsi-thailand.org/images/stories/TSI2012_Investor/Download/Brochure/KnowStockStyle.pdf
4. หนังสือ "ตามรอยวิถีเซียนลงทุน" 
http://www.tsi-thailand.org/images/stories/TSI2012_Investor/Download/Brochure/InvestmentGuru.pdf
5. หนังสือ "MAI STOCK FOCUS 2014" 
http://www.set.or.th/th/company/files/maiSF2014_EBOOK_v2.pdf
6. หนังสือ "โอกาสทองหุ้นไทย ในเศรษฐกิจ CLMV" 
https://www.set.or.th/th/company/files/20131218_CLMV.pdf
7. หนังสือ "กูรูพันล้าน วิชัย วชิรพงศ์" เรียบเรียงโดย คุณพีร์ บุญชนะวิวัฒน์ (Wizard Kid)
http://www.ebooks.in.th/ebook/10297/%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99_%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2_%E0%B8%A7%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C/
8. หนังสือ "หุ้นตัวแรก your first stock" 
http://www.set.or.th/yourfirststock/select_by_set.pdf
9. หนังสือ "Investor's Practice Guide" คู่มือผู้ลงทุน: ฉบับลงทุนในหุ้น 
http://www.tsi-thailand.org/index.php?option=com_content&task=view&id=2282&Itemid=1835
10. หนังสือ "ศัพท์น่ารู้ เพื่อผู้ลงทุน"
http://www.tsi-thailand.org/index.php?option=com_content&task=view&id=2292&Itemid=1846
ที่มา http://supapongnilket.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2558

หมัดเด็ดเสี่ยยักษ์ ... ทำอย่างไรถึงจะมีพอร์ตพันล้าน


สรุปจากงานสัมนากลยุทธ์การลงทุนสไตล์พอร์ตพันล้านแบบนักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จ
ส่วนน้อยรวย ส่วนใหญ่กลางๆไม่ได้ไม่เสีย ทีเหลือขาดทุน
จิตวิทยาข้อสำคัญ "ต้องรอให้ได้ หุ้นทุกตัวมีรอบของมัน"
เล่นหุ้นครั้งแรกขาดทุน แต่ไม่เป็นไร คนเราต้องมีการจ่ายค่าเทอมก่อนเสมอ
อยู่ท่ามกลางแวด-วงของคนเล่นหุ้น ต้องเอาตัวเองไปคลุกคลีกับกลุ่มคนเหล่านั้น
ลอกข้อสอบของคนที่สอบตก ยังไงเราก็ยังสอบตกอยู่อย่างนั้น เราต้องลอกข้อสอบคนที่สอบผ่าน สอบได้ที่ 1 พวกเขาเหล่านั้นมีแนวคิดอย่างไร มีกลยุทธ์อย่างไรในตลาดหุ้น มีหลักการอะไรบ้าง
สไตล์ผม ถ้ามีคนบอกซื้อหุ้นที่ 7 บาท ราคาไป 10 บาท กำไร 2 บาท เป็นผม ผมไม่เล่น สำหรับผมมันต้องจาก 5 บาทไป 15 บาท แล้วต้องมีเหตุผลว่าเพราะอะไรถึงไป 15 บาท
ต้องหาบิ๊กช็อตให้เจอ อย่าเล่นหุ้นหลายตัว ดูอย่าง ดร.นิเวศน์ ชนะหุ้นเพียงแค่ตัวเดียว CPALL ถ้าหาไม่เจอเราต้องอดทนรอ
ทนรวยให้ได้ .... สมมุติผมมีหุ้นที่ 3 บาท ขึ้นไป 11 บาท ราคาลงมา 5 บาท มันเจ็บปวด แต่เราทนความเจ็บปวดได้ไหม ทนได้ไหม ถ้าเราทนได้วันข้างหน้ามันไป 13 บาท หรืออาจจะ 14 บาท
ซื้อหุ้น ต้องซื้อที่ล่างๆยอดหญ้า ไม่ใช่มันขึ้นไปถึงสวรรค์แล้วซื้อตาม เล่นแบบนี้ได้แค่ค่ากับข้าวแต่ไม่รวยนะ ต้องกลับมาถามตัวเราเองว่าเราอยู่ในตลาดหุ้นหวังรวย หรือหวังค่ากับข้าวไปวันๆ
ต้องหาหุ้นในดวงใจให้เจอ หาหุ้นพลิกชีวิต เล่นสั้นๆเดย์เทรดไม่รวย
ผมเล่นหุ้นแค่ 3 ตัว 5 ตัว แต่ต่อยหนัก(หมายถึง ซื้อตัวเดียวหนักๆ) ไม่ใช่มีหุ้น 30 ตัว 50 ตัว
ต้องหาหุ้นที่คนไม่มอง คนรังเกียจ นั้นแหละหุ้นที่ผมจะกลับมามอง เราต้องยืนอยู่ฝั่งของคนส่วนน้อย
วอลุ่มมันคือของจริง มันหลอกเราไม่ได้ หุ้นตัวนี้เมื่อก่อนเทรด 5 แสนหุ้น 8 แสนหุ้น อยู่ดีๆมาเทรด 10 ล้านหุ้นแบบนี้แสดงว่ามันต้องมีอะไรซักอย่างแล้ว ต้องกลับไปทำการบ้าน ต้องกลับไปดู
ตลาดหุ้นไม่ใช่ยิมนาสติก ไม่มีคะแนนท่ายาก ไม่ต้องซิ่งมากหรือใช้เทคนิคแปลกพิศดารอะไร
คุณไม่รู้หรอกว่าคนสำเร็จวันนี้ผ่านอะไรมาบ้าง เราเห็นแต่ตอนจบก็เลยคิดว่ามันง่าย มันสวยหรู แต่จริงๆแล้วระหว่างทาง เขาเผชิญกับความผันผวน ราคาเหวี่ยงตัวรุนแรง
อยู่ในตลาดหุ้นเราต้องจริงจัง ไม่ใช่เอาเล่นๆหวัง 5% 10% เวลาตลาดถล่ม สึนามิมันมา มันพัดลงทะเลหมด มันเอาจนคุณหมดตัว มันไม่รู้หรอกว่าคุณหวัง 5% แล้วมันจะเมตตาคุณ
อย่าไปกลัว ความกลัวจะบั่นทองกำลังใจของเรา
เวลาซื้อหุ้นเราต้องคิดเหมือนเจ้าของกิจการ
ความรู้จากอินเตอร์เน็ตมีมากมาย โดยเฉพาะ Opportunity Day จากตลาดหลักทรัพย์ นักลงทุนควรต้องดู
เครื่องมือทางเทคนิคไม่ต้องใช้ให้เยอะ ใช้ชำนาญแค่ตัวเดียวก็พอ อย่าเล่นท่ายาก
คนประสบความสำเร็จ แผลเต็มหลัง