วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2558

NPARK - ตั้งต้นชีวิตใหม่ ?



ถ้าถามว่าหุ้น NPARK ไม่เหมาะกับคนที่คิดจะเล่นสั้นๆเก็งกำไรหรอกหรือ?? 
คือถ้าอยากจะมานั่งต่อคิว ATC กินวันละช่อง ถ้าคิดว่าทำได้และเร็วพอก็เอาเถอะ ! 
แต่ถ้าเบื่อกับชีวิตแบบนั้น ก็บอกได้แต่ว่า หุ้นตัวนี้จะไปได้ตอนไหน " มันไม่มีใครรู้ไง " รู้แต่ว่ามีข่าวเกี่ยวกับอะไรใหม่ๆ ? แต่สุดท้ายแล้วผลตอบแทนจะได้เมื่อไหร่ต้องรอกันเอาเองนะ....

มาดูว่ามันมีข่าวอะไรมาอัพเดทบ้าง ?

เรื่องราวครั้งเก่าก่อนว่าบริษัทผ่านร้อนผ่านหนาว และผ่านการเพิ่มทุนมามากครั้งขนาดไหนคงไม่ต้องเล่าแล้วนะ เพราะมันบ่อยมากเสียจน NPARK กลายเป็นหุ้นที่มีจำนวนหุ้นจดทะเบียนมากที่สุดในตลาดไทยไปแล้ว !

คราวนี้ NPARK สร้างเซอไพรส์ให้กับนักลงทุนด้วยการประกาศ swap หุ้นของตนกับที่ดินของ BTS ทำให้หากดีลนี้ผ่านมติผู้ถือหุ้น BTS จะเข้ามาถือหุ้น NPARK ระหว่าง 33-37%
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกงง ว่า ทำไมถึงถือแค่นี้ เพราะมันดูน้อยเกินไป ไม่สามารถควบคุมการบริหารได้ ตอนนั้นคนก็มองกันแค่ว่ามันมีการออก วอแรนท์ให้กับ BTS ด้วย 
ดังนั้นอาจเป็นไปได้ว่า BTS อาจรอให้แน่ชัดว่าการเข้ามาทำธุรกิจผ่าน NPARK จะไปรอดหรือไม่ ถ้าไปได้สวยก็ใช้สิทธิวอแรนท์ของตนเพื่อถือหุ้นเพิ่มขึ้น

แต่ก้อรู้สึกแปลกๆตั้งแต่ตอนนั้นแล้วนะ และเชื่อว่า BTS ไม่มีทางถือแค่นี้แน่นอน มีหลายต่อหลายครั้งที่เจ้าของ BTS จะเข้าซื้อหุ้นตัวที่ตัวเองสนใจควบคู่ไปด้วยเสมอ 
และประเด็นนี้ก็เกิดความกระจ่างขึ้นมาเพราะเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา มีการทำ big lot หุ้น NPARK-F เป็นจำนวนมาก คิดเป็นเปอร์เซนต์สูงถึงกว่า 15% ของทุนจดทะเบียน

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครซื้อ คงไม่มีใครคิดจะเข้ามาซื้อ NPARK แข่งกับ BTS อยู่แล้ว 
ฉะนั้นผู้ซื้อก็คงต้องเป็นบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับ BTS แต่เชื่อว่าน่าจะใช้ชื่อเป็น nominee มากกว่า น่าจะเป็นการตั้งเป็นกองทุนส่วนบุคคลที่ต่างประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกัน

แต่ท้ายที่สุด มันแทบจะชัวร์ว่าการโยน big lot ก้อนโตดังกล่าว คงเป็นการซื้อของกลุ่มเกี่ยวข้องกับ BTS เพื่อให้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการบริหารงาน NPARK นับจากนี้
เจ้าของ BTS บอกเสมอว่า เขาชอบการทำธุรกิจอสังหาแบบเก็บกินระยะยาวมากกว่าการทำแบบฉาบฉวย ด้วยเหตุนี้ การเข้าซื้อ NPARK นั้นอาจจะไม่ได้แค่คิดซื้อมาเล่นๆ โดยมีความต้องการให้ NPARK กลายมาเป็นแขนขาหลักในการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า และโรงแรม ของ BTS นับจากนี้เป็นต้นไป

แค่นี้ก็คงรู้แล้วนะว่า NPARK อาจจะไม่ใช่บริษัทเลื่อนลอยไม่มีผู้ถือหุ้นใหญ่อีกต่อไป การเข้ามาของ BTS แบบจริงจังนี้น่าจะทำให้ NPARK ดูดีขึ้นเป็นกอง และที่สำคัญก็คือ BTS ไม่ได้ต้องการมาแสวงหาผลประโยชน์จากที่ดินบางกระเจ้าและโรงภาษีร้อยชักสามของ NPARK แต่ต้องการใช้ NPARK เป็นหน่วยธุรกิจอย่างหนึ่งของบริษัท

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการพลิกฟื้นครั้งใหม่ของ NPARK เท่านั้น ไม่ได้บอกว่า มั่นใจล้านเปอร์เซนต์ จัดไป ซื้อ NPARK ไปเลย ไม่ใช่อย่างนั้น แต่กำลังจะบอกว่ามันกลายเป็นหุ้นที่เราต้องติดตาม !

แต่ ที่เราต้องระวังก็คือ นับจากนี้ เราน่าจะได้เห็นการใช้กรรมวิธีทางการเงินอีกหลายอย่างเพื่อให้ NPARK กลับมาเป็นผู้เป็นคนได้ โดยสิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยก็คงเป็น "การรวมพาร์เพื่อลดจำนวนห้น" ที่มีอยู่ให้มันน้อยลง เพราะ หลังการสวอปหุ้น NPARK จะมีหุ้นเกือบ 6 แสนล้านหุ้น มันยากต่อการไล่ราคา โดยเฉพาะหาก BTS ไม่ทำอะไรเลย

หลายคนอาจบอกว่า ทำไมรอบที่แล้วยังขึ้นไปได้ตั้งเยอะ คุณลองย้อนไปดูเลยนะ รอบที่ผ่านมาคุณประชาเข้ามาซื้อหุ้นผ่านชื่อของตัวเองและนอมินีอีก 2 ราย ถ้าคำนวณกันดีๆแล้ว คุณประชาถอนทุนคืนไปหมดตั้งแต่ต้นแล้ว ที่เหลืออยู่ในกระดานคือ "กำไร" เท่านั้น

แต่ BTS ไม่ใช่คุณประชา เมื่อ BTS เข้ามาถือ NPARK และหวังผลในอนาคต เขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบเร่งสร้างราคาหุ้น เพราะเขาก็ไม่รีบขาย และแม้ราคาหุ้นจะขึ้นไปมากเท่าไหร่ BTS ก็ยังไม่ได้ประโยชน์เพราะการถือหุ้น 37% ไม่ต้องรวมงบ แต่เป็นการรับรู้กำไรขาดทุนตามสัดส่วนการถือหุ้น ซึ่งในระยะแรก NPARK น่าจะยังขาดทุนอยู่ ดังนั้น งบ BTS จะต้องรับรู้ขาดทุนไปด้วย

ทั้งนี้ถ้ามีการไล่ราคาหุ้นจึงไม่น่าจะเกิดขึ้นจากมือของ BTS แล้วคุณคิดว่า ถ้าตอนนี้คนเขารู้กันหมดแล้วว่า BTS เป็นเจ้าของใหม่ถือหุ้นเกือบ 50% (รวมส่วน big lot ที่คาดว่าเป็นบุคคลใกล้ชิดกับ BTS) จะมีเจ้ามือคนไหนอาจหาญจะเข้ามาไล่หุ้น NPARK อีกหรือไม่?? ด้วยหุ้นที่วนเวียนในตลาดมากกว่า 2 แสนล้านหุ้น (ไม่นับส่วนของ BTS) หุ้นมันคงไม่ได้วิ่งกันได้ง่ายๆ

นอกจากนั้นแล้ว  ยังไม่รู้ว่า BTS มีแผนจะทำอะไรกับโครงสร้างทุนของ NPARK อีกหรือไม่ ?

ยกตัวอย่างหุ้นสุดคลาสสิคอย่าง TRUE ที่เวลาเขาคิดจะทำอะไร เขาจะทำเมื่อพร้อมเท่านั้น ก็คงไม่ต่างกับคุณคีรี ถ้าคิดจะทำราคา NPARK ขึ้นมาจริงๆ ก็คงต้องรอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมจริงๆเท่านั้น ซึ่งเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ เราที่เป็นนักลงทุนรายย่อยคงไม่มีทางรู้ ถ้าจะรู้ก็ต้องให้เขาค่อยๆหงายไพ่ออกมาทีละใบแล้วคาดการณ์เอา

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า NPARK นับจากนี้ไปจะไม่เหมือนวันก่อนๆอีกต่อไป เพราะว่ามีคนที่ต้องการเข้ามาทำ NPARK อย่างจริงๆจังๆเสียที เมื่อไหร่ก็ตามที่บริษัทยังคิดที่จะธุรกิจต่อไป ราคาต่ำแค่ไหนมันก็ยังมีความน่าซื้อ

แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่บริษัทเปลี่ยนธุรกิจมา "ทำหุ้น" แล้ว หุ้นตัวนั้นก็ "สิ้นคุณค่า" ที่จะถืออีกต่อไป จะเหลือไว้ก็เพียงภาพการ "เก็งกำไร" ที่รอวันดับสูญเท่านั้นเอง ....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น