วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

"Secret of old age" ๓๐ ข้อ สำหรับผู้เข้าสู่วัยชรา


๑)อย่ากลัวความแก่
๒)อย่าเสียใจที่แก่
๓)รีบหาความสุขเมื่อยังมีความสามารถ
๔)อย่ารอหาความสุขก่อนจะเสียดายภายหลัง
๕)รีบไปเที่ยวตามสถานที่ๆ อยากไป
๖)หาเวลาเจอเพื่อนเก่า
๗)สังสรรค์กับเขาเพราะเวลาเหลือน้อย
๘)เงินที่เก็บไว้ในธนาคาร ตายแล้วเอาไปไม่ได้
๙)ใช้เงินหาความสุขเมื่อยังมีชีวิต
๑๐)อยากกินอะไรที่ชอบก็กิน
๑๑)หลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ
๑๒)กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
๑๓)การเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดา
๑๔)อย่าวิตกกลัวกับความเจ็บป่วย
๑๕)ทุกคนต้องผ่านการเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดา
๑๖)ถ้าวิตกเรื่องแก่เจ็บตายแล้วมีความสุขก็ให้วิตกไปเถิด
๑๗)รีบจัดการปัญหาเสียก่อนตาย
๑๘)ปล่อยให้หมอดูแลสุขภาพ พระเจ้าดูแลชีวิต และตนเองดูแลอารมณ์
๑๙)อย่ากังวลกับลูกหลาน พวกเขาช่วยตัวเองได้
๒๐)สนใจดูแลสุขภาพของตัวเองให้มากขึ้น
๒๑)สนใจดูแลคู่ชีวิตที่ชราด้วยกันให้มากขึ้น
๒๒)เก็บเงินเกษียณไว้กับตัวเอง
๒๓)พบเพื่อนเก่าให้บ่อยมากขึ้น เพราะเวลาเหลือน้อยลง
๒๔)ยิ้มให้ตนเองและคนอื่นทุกวัน
๒๕)ทำชีวิตให้มีความสุข
๒๖)ถ้าอยากร้องไห้ก็ร้องให้ดังๆ ไปเลย 
๒๗)ความหวังสิ้นสุด ถ้าหยุดความเชื่อ
๒๘)ความรักจะสิ้นสุด ถ้าหยุดใส่ใจ
๒๙)ชีวิตจะสิ้นสุข ถ้าหยุดยิ้ม
๓๐)มิตรภาพจะสิ้นสุด ถ้าหยุดแบ่งปัน...
ขอให้โชคดี มีอายุยั่งยืน,,長命富貴,心情快乐

วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ความสุขเกิดขึ้นเมื่อใด


ความสุขเกิดขึ้นเมื่อใด
ความสุข เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง 
ความสุข ไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทางที่ไปถึง 

คุณบอกกับตัวเองว่า เมื่อได้แต่งงาน และมีลูก ชีวิตของคุณก็จะดีขึ้น 
แต่เมื่อคุณมีลูก และลูกของคุณยังเล็กอยู่ คุณก็เกิดความรู้สึกว่า เมื่อเขาโตขึ้น เราคงมีความสุขและสบายขึ้น 

แต่เมื่อลูกโตมากขึ้น จนย่างเข้าสู่วัยรุ่น 
คุณกลับรู้สึกไม่ได้ดั่งใจอีกครั้ง 
และเมื่อลูก ๆ ผ่านพ้นช่วงวัยรุ่นไปได้ 
คุณคิดว่า คุณจะมีความสุขมากขึ้น 
แต่คุณกลับบอกกับตัวเองอีกว่า จะรอให้ลูก ๆ 
จัดการกับตัวของเค้าเอง ให้เรียบร้อยดีเสียก่อน ก็น่าจะดีขึ้น

บางครั้ง คุณคิดว่า ถ้าคุณมีบ้าน มีรถ มีวันหยุดพักร้อนนาน ๆ และเมื่อถึงวันเกษียณอายุการทำงาน ชีวิตของคุณ น่าจะมีความสุขมากที่สุด 
แต่เมื่อเกษียนแล้วก็จริง แต่ทำไมถึงยังไม่มีความสุขสักที 

ความสุขของชีวิตอยู่ที่ไหนกัน ? หนอ
แท้จริงแล้ว ความสุขของชีวิต อยู่ ณ ช่วงเวลาขณะนี้ ช่วงเวลาปัจจุบันนี้ต่างหาก ไม่ต้องรอ ให้ความสุขมาหาเราในอนาคต 
เราควรมีความสุข และพึงพอใจกับความสุขอยู่ในปัจจุบัน 

ชีวิต ของมนุษย์ทุกคน ต้องมีสิ่งท้าทายเข้ามาอยู่ตลอดเวลา ทั้งอุปสรรคต่าง ๆ หรือบททดสอบชีวิต อันยากเข็ญ แต่ในที่สุด เราก็จะต้องก้าวผ่านไป อุปสรรคกับชีวิต เป็นของคู่กัน 
ดังนั้น เป็นหน้าที่ของเรา ที่ต้องหาความสุข และความพึงพอใจ จากการเดินทางบนถนนแห่งชีวิตนี้ ซึ่งจะทำให้ชีวิตมีความสุขมากกว่า ที่จะรอให้ถึงจุดหมายปลายทางก่อน แล้วถึงจะมีความสุขได้ 

เริ่มหยุดพูดกับตัวเองเสียทีว่า 
ถ้าฉันลดน้ำหนักได้สัก 5 กิโล ฉันถึงจะมีความสุข 
ถ้าฉันได้แต่งงาน ฉันถึงจะมีความสุข 
ถ้าผมได้ซื้อบ้าน ผมถึงจะมีความสุข 
ถ้าผมได้เกิดเป็นลูกคนรวย ผมถึงจะมีความสุข 
ถ้าคุณหยุดพูดถึงสิ่งเหล่านี้ได้ ชีวิตของคุณก็จะมีความสุข 
และคุณจะรู้สึกพึงพอใจกับชีวิต

ตอบคำถาม ต่อไปนี้ 
1. บอกชื่อคน 3 คน ที่รวยที่สุดในโลก
2. บอกชื่อนางงามจักรวาล 3 คนล่าสุด
3. บอกชื่อ ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล 3 คนล่าสุด 
4. บอกชื่อนักแสดงนำชาย 3 คนล่าสุด ที่ได้รับรางวัลออสการ์ 

นึกไม่ออกใช่ไหม? ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย 
ไม่มีใครหรอก ที่จะจดจำคนเหล่านี้ได้ทั้งหมด 
คนที่ได้รับการยกย่อง สรรเสริญ ก็ล้วนล้มหายตายจาก ไปตามกาลเวลา 
รางวัลต่าง ๆ เมื่อวางไว้นาน ก็จะถูกฝุ่นจับ แม้แต่ผู้ชนะ ก็จะถูกลืมในไม่ช้า 

ตอบคำถาม ต่อไปนี้ 
1. บอกชื่ออาจารย์ 3 ท่าน ที่เคยช่วยเหลือคุณ ในเรื่องการเรียน 
2. บอกชื่อเพื่อน 3 คนที่ช่วยเหลือคุณ ในยามที่คุณต้องการ 
3. นึกถึงคน 3 คนที่ทำให้คุณรู้สึกว่า คุณได้เป็นคนพิเศษของเขาเหล่านั้น 
4. บอกชื่อคน 3 คนที่คุณอยากใช้เวลาดี ๆ ด้วย 

นึกออกง่ายกว่าใช่ไหม? นั่นเป็นเพราะว่า
คนที่มีความหมายต่อชีวิตคุณ ไม่ได้เป็นคนที่ต้องเป็นคนเก่ง ที่สุด หรือ สวย หล่อที่สุด 
ไม่ได้มีเงินมากที่สุด ไม่ต้องได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะยังมีคนใกล้ตัวคุณ อีกหลายคน ที่ห่วงใยคุณ คอยให้การดูแลคุณ 
และเวลาที่มีอะไรเกิดขึ้น ก็จะคอยอยู่เคียงข้างคุณ คอยปลอบโยนคุณ คอยให้กำลังใจคุณ

... ไม่มีช่วงเวลาไหน ที่จะมีความสุข 
มากกว่าช่วงเวลา ณ ปัจจุบันนี้.. 
..จงใช้ชีวิตให้มีความสุขกับช่วงเวลาปัจจุบัน.. 

สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเอง ที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพ มีอย่างนี้

 ๑. อย่าเปรียบเทียบ ชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้น เขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง   

 ๒. อย่าคิดทางลบ เกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุม หรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลัง และพลังงานใ ห้กับความคิด ทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย   

 ๓. อย่าทำอะไร ๆ เกินกว่าที่ตัวเองจะทำได้ ...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน   

 ๔. อย่าเอาจริงเอาจัง กับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขา ไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก   

 ๕. อย่าเสียเวลา และ พลังงานอันมีค่าของคุณ กับเรื่องหยุมหยิม หรือเรื่องซุบซิบ...นินทา... นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง   

 ๖. จงฝันตอนตื่น มากกว่าตอนหลับ  

๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยา เป็นเรื่องเสียเวลาเปล่าๆปลี้ๆ...เมื่อคิดให้ดีก็จะรู้ว่า คุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว   

๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณ เกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของอีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ   
๙. ชีวิตนี้ สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร ๆ ..จงอย่าเกลียดคนอื่น   
๑๐.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายความสุขในปัจจุบันของคุณ   

๑๑. ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้ นอกจากคุณเอง   

๑๒. จงเข้าใจเสียว่า ชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อ เรียนรู้ และ ปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ของหลักสูตรซึ่งเมื่อมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต   

๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น   

๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้ง ที่ถกเถียงกับคนอื่น หรอก... บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่างกันได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร
   
แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้าง เราล่ะ ?

          ๑. อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ   
          ๒. จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน   
          ๓. จงให้อภัยทุกคน สำหรับทุกอย่าง   
          ๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6ขวบ   
          ๕. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน   
          ๖. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณ ไม่ใช่เรื่องของคุณสักหน่อย 
          ๗. งานของคุณ ไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัว และ เพื่อนคุณ ต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณ ในยามคุณมีปัญหา สุขภาพ 
ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหิน กับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด และ ถ้าหากสามารถดำรงชีวิต ให้มีความหมายได้ , ก็ควรจะทำ ดังต่อไปนี้ 
          ๑. จงทำ และทำในสิ่งที่ควรทำให้มีความสุข   
          ๒. อะไรที่ ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่งาม, ไม่น่ารื่นรมย์, จงทิ้ง ไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?  
          ๓. เวลา ย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้   
          ๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดี หรือเลวปานใด,เดี๋ยวมันก็จะเปลี่ยน 
          ๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึก อย่างไร ในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุกจากเตียง, แต่งตัว และปรากฎตัวต่อหน้า คนที่เราร่วมงาน ด้วย...ความรู้สึกที่ดี 
get up, dress up and show up.  
          ๖. คิดเสมอว่าสิ่งที่ดี ที่สุดยังมาไม่ถึง รอต่อไป
          ๗. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย ที่ทำให้คุณ อยู่มาได้ถึงในวันรุ่งขึ้น   
          ๘. เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุข เสมอ...ดังนั้นส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า 

วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2557

กลวิธี สงครามกองโจร(disco ball)


“เอ็งมา ข้ามุด เอ็งหยุด ข้าแหย่ เอ็งแย่ ข้าตี เอ็งหนี ข้าตาม” นอกจากจะนำไปใช้ในการรบแบบสงครามกองโจรแล้ว ยังมีการนำมาใช้ในตลาดหุ้นโดยรายใหญ่เสมอ

จะว่าไปแล้ว กลวิธี สงครามกองโจร ก็แสบไม่แพ้ กลวิธี สวนควันปืนเล่นสวนทางมวลชนนะครับ

ต่างกันเพียง การสวนควันปืนเล่นสวนทางมวลชนนั้น จะใช้จิตวิทยาและอำนาจเงิน ควบคุมตลาด ในขณะที่ กลวิธีสงครามกองโจร จะใช้ข่าววงในและอำนาจบริหารควบคุมราคาหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง

ผมสังเกตเห็นตามเว็บบอร์ดหุ้นหลายแห่ง มักตั้งข้อสงสัยว่า นักวิเคราะห์บางค่าย เชียร์ซื้อให้รายใหญ่ออกของ เชียร์ขายให้รายใหญ่เข้าเก็บ นักวิเคราะห์แนะให้ซื้อ มันกลับลง พอแนะขาย มันกลับขึ้น

ผมขอฟันธงเลยว่า นักวิเคราะห์ “ส่วนใหญ่” ไม่ได้เป็นเช่นนั้น

แต่รายใหญ่ต่างหากที่กำลังทำสงครามกองโจรกับคุณ

การที่นักวิเคราะห์เชียร์ให้ซื้อแล้วลง เชียร์ให้ขาย แล้วขึ้น ไม่ใช่เพราะเขาไม่มีความรู้ ไม่ใช่เพราะเขาไม่มีเครื่องมือในการทำงานที่ดีพอนะคับ

ความรู้และเครื่องมือ ในการวิเคราะห์การลงทุนของนักวิเคราะห์ ออกจะมีมากมายหลายหลาก

แต่ทุกวันนี้ รายใหญ่ หรือ เจ้าของบริษัท เขามักจะเลือกคนเก่งกราฟ มาดูแลราคาหุ้น และใช้เครื่องมือเหล่านั้น มาหาประโยชน์ ส่วนตนอีกที

หลังจากรายใหญ่เข้าเก็บหุ้นจนมากพอ เขาก็จะเริ่มด้วยการไล่ราคาหุ้น จนกระทั่งกราฟ "สั่งซื้อ" จากนั้นเขาก็จะวางขาย รินขาย ไม่หยุดหย่อน และลงเอยด้วยการทุบเปรี้ยงลงมาเลย เมื่อแรงเคาะซื้อเริ่มหมดแรง เพื่อให้กราฟ "สั่งขาย"

หลังจากที่กราฟสั่งขายแล้ว เขาไม่ต้องทำอะไรให้เหนื่อยเลยครับ แค่นั่งรอเวลาเฉยๆ อีกไม่นาน เขาก็จะได้ซื้อหุ้นคืน ในราคาที่ต่ำกว่าเดิม ...... นี่คือความจริง ภาคสนามรบ

หลังจากมีโอกาสได้นัดพบนั่งกินข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ผมก็อดไม่ได้ที่จะถามเขา ในฐานะผู้รู้ดีที่สุดแล้วในตลาด เกี่ยวกับหุ้นตัวนี้

ไม่รู้ว่า เป็นเพราะเขาเกรงใจที่ผมเลี้ยงข้าวหรือเปล่านะ ในที่สุดเขาก็เล่าให้ฟัง เมื่อผมถามว่า ทำไม หุ้นของนายถึงกวนบาทาขนาดนี้ เที่ยวซิกแซกรังแกชาวบ้าน

“นายคิดดู ถ้านายเป็นรายใหญ่ ใช้เงินสดซื้อหุ้น ไล่ราคาขึ้นมาตั้งเยอะ แต่กลับโดนใครก็ไม่รู้ ที่มีหุ้นต้นทุนต่ำ ขายใส่ตลอดทาง นายเซ็งไหม”

“นายว่า มันต้องใช้เงินมากขึ้นกว่าเดิมไหมล่ะ ในการทำราคา หากเจอแต่พวกเดย์เทรดมาจับเสือมือเปล่า กินเงินของนาย ไปฟรีๆ ในแต่ละวัน”

“เราเลยจำเป็นต้อง ลาก กระชาก ตบ เป็นระยะๆ ไม่งั้น เงินหมดตัวแน่ กว่าราคาหุ้นจะถึงเป้าหมาย ตามที่ "เจ้านาย" สั่ง”

เอ ถ้าผมบอกเจ้านี่ว่าผมจะเอาเรื่องของเขามาเขียนหนังสือ เขาจะเล่าให้ผมฟังรึปล่าวหว่า

เอาล่ะ จากนี้ไป ผมยกพื้นที่ให้เขาสาธยายเลยแล้วกัน

“ขั้นแรก เราก็จะต้องสะสมหุ้นก่อน เราจะไปเช็คกราฟจากโปรแกรมเทรด เพื่อหาจุดตัดขาดทุน และแนวรับ จากนั้น เราจะสั่งมาร์เก็ตติ้ง อีกโบรกฯ หนึ่ง ให้ตั้งซื้อรอไว้ หลายๆราคา แล้วก็สั่งมาร์เก็ตติ้งอีกโบรกฯ หนึ่ง ให้ตั้งรอซื้อไว้ที่แนวรับ แล้วก็สั่งมาร์เก็ตติ้งอีกโบรกฯ หนึ่ง ให้ตั้งออร์เดอร์รอ ในระดับราคาที่ต่ำกว่าจุดตัดขาดทุน”

“เมื่อออร์เดอร์ตั้งรอไว้หนาแน่น เราก็จะสั่งมาร์เก็ตติ้ง อีกโบรกฯหนึ่ง ให้ขายโครมลงมา ที่ฝั่งบิด นายสังเกตไหมว่า หุ้นไม่ได้หายไปไหน แค่เปลี่ยนไปอยู่ในมือของอีกโบรกฯหนึ่งแทน แต่ภาพที่ออกมามันน่ากลัวนะ เพราะบิดที่รอไว้เป็นล้านหุ้นโดนขายทิ้งจนหมดในไม้เดียว”

“นายเข้าใจใช่ไหม นี่มันเกิดผลทางจิตวิทยาขึ้นแล้ว คราวนี้ คนที่ถือหุ้นต้นทุนต่ำรายอื่น ก็จะขายทิ้งหุ้นลงมาด้วย ทำให้ออร์เดอร์ของเรา ที่ตั้งรอไว้ที่แนวรับ ได้ของมามากพอสมควรเลยล่ะ”

“จากนั้น ก็จะสั่งขายหุ้นที่เพิ่งซื้อมาเมื่อกี้นี้แหละ โครมลงมาอีกที เพื่อให้หลุดแนวรับ หรือ ให้ถึงจุดที่โปรแกรมจะต้องสั่งขาย .... เมื่อหลุดแนวรับ หรือ เมื่อถึงจุดที่โปรแกรมสั่งขาย คราวนี้ ทุกคนที่มีหุ้นอยู่ก็จะขายหนีตาย ราคามันก็จะไหลรูดดิ่งลงมาอย่างรวดเร็ว ปริมาณหุ้นที่เราตั้งซื้อไว้ในระดับราคาต่ำๆ จะได้รับคืนจนครบ”

“ถ้ายังได้ไม่ครบ แสดงว่ามีคนใจแข็งทนถืออยู่ เราก็จะสั่งบล็อกราคาซะ ขนหุ้นเอามาวางขายหนาๆที่ฝั่งออฟเฟอร์ แล้วก็ตบมั่ง ทุบลงมามั่ง บีบไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้หุ้นครบตามที่เจ้านายสั่ง”

“ตอนนี้ กราฟเสียรูปแล้วใช่ปล่าว วันรุ่งขึ้น นักวิเคราะห์ทุกโบรกฯ ก็จะออกมาแนะนำ ขาย ให้ เองแหละ เพราะกราฟมันสั่งขาย เราตั้งรอไว้ไม่นาน เดี๋ยวเราก็จะได้ของครบแล้วไง”

(point right) อ่านแล้วคุ้นๆเนอะ ข้ามุด เอ็งหยุด ข้าแหย่ เอ็งแย่ ข้าตี เอ็งหนี ข้าตาม” นอกจากจะนำไปใช้ในการรบแบบสงครามกองโจรแล้ว ยังมีการนำมาใช้ในตลาดหุ้นโดยรายใหญ่เสมอ

จะว่าไปแล้ว กลวิธี สงครามกองโจร ก็แสบไม่แพ้ กลวิธี สวนควันปืนเล่นสวนทางมวลชนนะครับ

ต่างกันเพียง การสวนควันปืนเล่นสวนทางมวลชนนั้น จะใช้จิตวิทยาและอำนาจเงิน ควบคุมตลาด ในขณะที่ กลวิธีสงครามกองโจร จะใช้ข่าววงในและอำนาจบริหารควบคุมราคาหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง

ผมสังเกตเห็นตามเว็บบอร์ดหุ้นหลายแห่ง มักตั้งข้อสงสัยว่า นักวิเคราะห์บางค่าย เชียร์ซื้อให้รายใหญ่ออกของ เชียร์ขายให้รายใหญ่เข้าเก็บ นักวิเคราะห์แนะให้ซื้อ มันกลับลง พอแนะขาย มันกลับขึ้น

ผมขอฟันธงเลยว่า นักวิเคราะห์ “ส่วนใหญ่” ไม่ได้เป็นเช่นนั้น

แต่รายใหญ่ต่างหากที่กำลังทำสงครามกองโจรกับคุณ

การที่นักวิเคราะห์เชียร์ให้ซื้อแล้วลง เชียร์ให้ขาย แล้วขึ้น ไม่ใช่เพราะเขาไม่มีความรู้ ไม่ใช่เพราะเขาไม่มีเครื่องมือในการทำงานที่ดีพอนะคับ

ความรู้และเครื่องมือ ในการวิเคราะห์การลงทุนของนักวิเคราะห์ ออกจะมีมากมายหลายหลาก

แต่ทุกวันนี้ รายใหญ่ หรือ เจ้าของบริษัท เขามักจะเลือกคนเก่งกราฟ มาดูแลราคาหุ้น และใช้เครื่องมือเหล่านั้น มาหาประโยชน์ ส่วนตนอีกที

หลังจากรายใหญ่เข้าเก็บหุ้นจนมากพอ เขาก็จะเริ่มด้วยการไล่ราคาหุ้น จนกระทั่งกราฟ "สั่งซื้อ" จากนั้นเขาก็จะวางขาย รินขาย ไม่หยุดหย่อน และลงเอยด้วยการทุบเปรี้ยงลงมาเลย เมื่อแรงเคาะซื้อเริ่มหมดแรง เพื่อให้กราฟ "สั่งขาย"

หลังจากที่กราฟสั่งขายแล้ว เขาไม่ต้องทำอะไรให้เหนื่อยเลยครับ แค่นั่งรอเวลาเฉยๆ อีกไม่นาน เขาก็จะได้ซื้อหุ้นคืน ในราคาที่ต่ำกว่าเดิม ...... นี่คือความจริง ภาคสนามรบ

หลังจากมีโอกาสได้นัดพบนั่งกินข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ผมก็อดไม่ได้ที่จะถามเขา ในฐานะผู้รู้ดีที่สุดแล้วในตลาด เกี่ยวกับหุ้นตัวนี้

ไม่รู้ว่า เป็นเพราะเขาเกรงใจที่ผมเลี้ยงข้าวหรือเปล่านะ ในที่สุดเขาก็เล่าให้ฟัง เมื่อผมถามว่า ทำไม หุ้นของนายถึงกวนบาทาขนาดนี้ เที่ยวซิกแซกรังแกชาวบ้าน

“นายคิดดู ถ้านายเป็นรายใหญ่ ใช้เงินสดซื้อหุ้น ไล่ราคาขึ้นมาตั้งเยอะ แต่กลับโดนใครก็ไม่รู้ ที่มีหุ้นต้นทุนต่ำ ขายใส่ตลอดทาง นายเซ็งไหม”

“นายว่า มันต้องใช้เงินมากขึ้นกว่าเดิมไหมล่ะ ในการทำราคา หากเจอแต่พวกเดย์เทรดมาจับเสือมือเปล่า กินเงินของนาย ไปฟรีๆ ในแต่ละวัน”

“เราเลยจำเป็นต้อง ลาก กระชาก ตบ เป็นระยะๆ ไม่งั้น เงินหมดตัวแน่ กว่าราคาหุ้นจะถึงเป้าหมาย ตามที่ "เจ้านาย" สั่ง”

เอ ถ้าผมบอกเจ้านี่ว่าผมจะเอาเรื่องของเขามาเขียนหนังสือ เขาจะเล่าให้ผมฟังรึปล่าวหว่า

เอาล่ะ จากนี้ไป ผมยกพื้นที่ให้เขาสาธยายเลยแล้วกัน

“ขั้นแรก เราก็จะต้องสะสมหุ้นก่อน เราจะไปเช็คกราฟจากโปรแกรมเทรด เพื่อหาจุดตัดขาดทุน และแนวรับ จากนั้น เราจะสั่งมาร์เก็ตติ้ง อีกโบรกฯ หนึ่ง ให้ตั้งซื้อรอไว้ หลายๆราคา แล้วก็สั่งมาร์เก็ตติ้งอีกโบรกฯ หนึ่ง ให้ตั้งรอซื้อไว้ที่แนวรับ แล้วก็สั่งมาร์เก็ตติ้งอีกโบรกฯ หนึ่ง ให้ตั้งออร์เดอร์รอ ในระดับราคาที่ต่ำกว่าจุดตัดขาดทุน”

“เมื่อออร์เดอร์ตั้งรอไว้หนาแน่น เราก็จะสั่งมาร์เก็ตติ้ง อีกโบรกฯหนึ่ง ให้ขายโครมลงมา ที่ฝั่งบิด นายสังเกตไหมว่า หุ้นไม่ได้หายไปไหน แค่เปลี่ยนไปอยู่ในมือของอีกโบรกฯหนึ่งแทน แต่ภาพที่ออกมามันน่ากลัวนะ เพราะบิดที่รอไว้เป็นล้านหุ้นโดนขายทิ้งจนหมดในไม้เดียว”

“นายเข้าใจใช่ไหม นี่มันเกิดผลทางจิตวิทยาขึ้นแล้ว คราวนี้ คนที่ถือหุ้นต้นทุนต่ำรายอื่น ก็จะขายทิ้งหุ้นลงมาด้วย ทำให้ออร์เดอร์ของเรา ที่ตั้งรอไว้ที่แนวรับ ได้ของมามากพอสมควรเลยล่ะ”

“จากนั้น ก็จะสั่งขายหุ้นที่เพิ่งซื้อมาเมื่อกี้นี้แหละ โครมลงมาอีกที เพื่อให้หลุดแนวรับ หรือ ให้ถึงจุดที่โปรแกรมจะต้องสั่งขาย .... เมื่อหลุดแนวรับ หรือ เมื่อถึงจุดที่โปรแกรมสั่งขาย คราวนี้ ทุกคนที่มีหุ้นอยู่ก็จะขายหนีตาย ราคามันก็จะไหลรูดดิ่งลงมาอย่างรวดเร็ว ปริมาณหุ้นที่เราตั้งซื้อไว้ในระดับราคาต่ำๆ จะได้รับคืนจนครบ”

“ถ้ายังได้ไม่ครบ แสดงว่ามีคนใจแข็งทนถืออยู่ เราก็จะสั่งบล็อกราคาซะ ขนหุ้นเอามาวางขายหนาๆที่ฝั่งออฟเฟอร์ แล้วก็ตบมั่ง ทุบลงมามั่ง บีบไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้หุ้นครบตามที่เจ้านายสั่ง”

“ตอนนี้ กราฟเสียรูปแล้วใช่ปล่าว วันรุ่งขึ้น นักวิเคราะห์ทุกโบรกฯ ก็จะออกมาแนะนำ ขาย ให้ เองแหละ เพราะกราฟมันสั่งขาย เราตั้งรอไว้ไม่นาน เดี๋ยวเราก็จะได้ของครบแล้วไง”

(point right) อ่านแล้วคุ้นๆเนอะ

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

มนุษย์เงินเดือน กับการบริหารภาษี

บทความฝากสำรับมนุษย์เงินเดือนและเพื่อนๆที่มีภาระต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

ใกล้สิ้นปีเข้ามาทุกขณะ ถึงเทศกาลลดหย่อนภาษีมนุษย์เงินเดือน
 
ผมมีเพื่อนบางคนรายได้ปีละ 1,200,000 บาท ไม่ได้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีใดๆ เลย
ก็โดนบริษัทหักภาษีตอนจ่ายเงินเดือน ไปเดือนละประมาณ 1หมื่นบาท ครบปีก็เสียภาษีรวม 120,000 บาท
ตอนยื่นภาษีเดือนมีนาคมปีถัดไปก็แค่ยื่นว่าเสียภาษีถูกต้องครบถ้วน และเขาก็คิดว่า ดีจังไม่ต้องจ่ายภาษีเพิ่ม ^^

ด้วยรายได้ปีละ 1.2ล้านบาทนี้ อัตราฐานภาษีสูงสุดของเพื่อนคนนี้คือ 20% หมายความว่า
ทุกๆ 100 บาทที่ลงทุนเพื่อลดภาษีจะได้ภาษีคืน 20 บาท ถ้าลงทุน 100,000 บาทก็ได้ภาษีคืน 20,000 บาท

คราวนี้ก็เป็นคำถามสำคัญแล้วว่า ถ้าสนใจจะลงทุนเพื่อลดภาษีจะลงทุนอะไรดี ระหว่าง LTF RMF ประกันชีวิต

เนื่องจากว่า หากเราที่เป็นมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้ปานกลาง คงจะไม่มีเงินสดเหลือจากใช้จ่ายจำนวนมากพอ
ที่จะลงทุนทุกอย่างเพื่อลดภาษีได้อย่างเต็มสิทธิ ดังนั้น หากจะต้องเลือก เราจะเลือกลงทุนอะไรดี


เงื่อนไขการลงทุนเพื่อลดภาษีในแต่ละรายการ

LTF             ไม่เกิน 15% ของรายได้รวม และไม่เกิน 5แสนบาท

RMF            ไม่เกิน 15% ของรายได้รวม และเมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแล้วไม่เกิน 5แสนบาท

ประกันชีวิต    ไม่เกิน 100,000 บาท

 

แต่เหตุผลสำคัญจากการพูดคุยกับเพื่อนหลายคนทำให้พบว่า จริงๆ แล้ว เงินที่จะลงทุนนั้นก็มีอยู่
แต่กลัวภาระผูกพันมากว่า คือไม่มั่นใจว่าอีก 5-10ปีข้างหน้าจะยังทำงานอยู่ไหม?

แล้วหากมีภาระผูกพันที่จะต้องลงทุนต่อเนื่องแต่ตอนนั้นรายได้สะดุดจะเดือนร้อนหรือเปล่า?
จึงพยายามหาการลงทุนสิ่งที่มีภาระน้อยที่สุด ลงทุนระยะเวลาสั้นที่สุด


จึงอยากจะสรุปออกมาให้เห็นว่าข้อดีข้อด้อยความเสี่ยงของแต่ละรายการคืออะไร^^

 

LTF

ข้อดีคือ  ภาระผูกพันน้อยที่สุด อยากลงทุนปีไหนก็ลง ไม่อยากลงทุนก็ไม่ต้องลง
ขอแค่ถือให้ครบ 5 ปีปฎิทินก็พอ  มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงเพราะกองทุนนำเงินไปลงในหุ้นสามัญ


ข้อเสียคือ มีโอกาสขาดทุนหากหุ้นที่กองทุนไปลงทุนราคาตกต่ำ ความเสี่ยงสูง

 

RMF

ข้อดีคือ วันที่คุณอายุ 55ปี จะมีเงินก้อนใหญ่รอคุณอยู่ คุณจะนึกขอบคุณคนที่แนะนำให้คุณซื้อ RMF
ถ้าอยากเก็บเงินเพื่อเกษียณ การซื้อ RMF ช่วยคุณได้จริงๆ มีกองทุนให้เลือกทั้งเสี่ยงต่ำไปจนเสี่ยงสูงมาก


ข้อเสียคือ มีภาระผูกพันต้องซื้อทุกปีต่อเนื่องไปจนอายุ55ปี สำหรับคนที่กลัวภาระผูกพัน
และคิดว่าไม่น่าจะซื้อตัวนี้มาเลยตั้งแต่แรกทางแก้ก็คือ แค่ซื้อต่อไปทุกปี ปีละ5พันบาท เพื่อรักษาสิทธิ

 
ประกันชีวิต

ข้อดีคือ  ช่วยเก็บออมเงิน และมีความคุ้มครองมากกว่าเงินที่เก็บกรณีเกิดเหตุไม่คาดฝัน
ความเสี่ยงต่ำมากได้เงินคืนไม่ขาดทุนแน่นอน


ข้อเสียคือ เป็นภาระผูกพันแน่นอนตามแบบที่ซื้อ เช่น ซื้อประกัน 25/15 จำนวน 50,000 บาท
คือต้องส่งเงิน 50,000 บาททุกปีเป็นเวลา 15ปี และเมื่อครบ 25ปี
จึงจะได้เงินก้อนใหญ่คืน(ระหว่างทางอาจมีเงินคืนด้วย)

นี่คือสาเหตุที่คนส่วนใหญ่กลัวการทำประกัน เพราะกลัวว่ามีภาระแน่นอน เช่นกรณีนี้คือ 15ปี
และเนื่องจากความเสี่ยงที่จะขาดทุนต่ำมาก ผลตอบแทนที่แท้จริงก็ต่ำด้วยเช่นกัน

(อย่าไปเชื่อการคำนวณแบบพิศดาร ว่าได้ผลตอบแทนเป็น 100%-200%
ผมบอกได้เลยว่าผลตอบแทนที่แท้จริงนั้นพอๆ กับเงินฝากประจำ 24เดือน)

 
จะว่าไป LTF RMF ประกันชีวิต ต่างก็มีจุดดีจุดด้อยของตัวเอง สำหรับผมแล้วลงทุนทุกอย่างเลยครับ
ขอให้เพื่อนๆ เลือกการลงทุนที่เหมาะสมกับตนเองและได้ประโยชน์ทางภาษีสูงสุดนะครับ ^_^

วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ย้อนรอยหุ้นเด็ดBTSควบรวมTYONGกลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิม

BTS ควบรวม TYONG วิศวกรรมการเงินพลิกชีวิต คีรี กาญจนพาสน์ การกลับมาที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม

ก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540 ชื่อเสียงของคีรี กาญจนพาสน์ เลื่องกับกับ  2 โครงการใหญ่ระดับประเทศ โครงการแรกเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ ธนาซิตี้ ในนามบริษัท ธนายง จำกัด (มหาชน) หรือ TYONG ส่วนโครงการหลัง เป็นสัมปทานเดินรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนของ กทม. บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC แต่หลังจากวิกฤตผ่านไป ทั้งสองโครงการติดกับดักของปัญหาทางการเงินยาวนานกว่า 1 ทศวรรษ รอเวลาสำหรับการเปลี่ยนแปลง ในขณะที่คีรีหายหน้าไปจากวงสังคมยาวนานจนไม่มีใครคาดว่าจะกลับมาผงาดได้เหมือนเดิม แต่นั่นเป็นการประเมินพลาดต่อวิศวกรรมการเงินที่สามารถพลิกผันได้ในพริบตาเดียว

ปี  2553 ท่ามกลางวิกฤตทางการเมืองของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกน โครงการปรับโครงสร้างทางการเงินแบบพิสดารได้เกิดขึ้น และยังผลให้ฐานะของทั้ง TYONG, BTSC และ คีรี กาญจนพาสน์ เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากการมีหนี้มหาศาล กลายเป็นกลุ่มที่มีเงินสดมหาศาล ถือเป็นหนึ่งในตำนาน Survival Strategies ที่ต้องเล่าขานไปยาวนาน สอดรับกับวลีเด็ดของคีรีที่พูดเป็นประจำก็คือ “พูดง่ายแต่ทำยาก” เมื่อย้อนหลังพูดถึงปฏิบัติการดังกล่าวที่เขาเรียกว่า “งูกินช้าง” เพื่อให้ทั้ง TYONG และ BTSC ออกจากกระบวนการแผนฟื้นฟูกิจการเกิดมูลค่าหุ้นในตลาดกว่า 5 หมื่นล้านบาท พร้อมกับยกเลิกใช้ชื่อ TYONG เปลี่ยนชื่อเป็น BTS รวมทั้งได้ย้ายจากหมวดอสังหาริมทรัพย์มาอยู่ในหมวดขนส่งและโลจิสติกส์ ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการด้วย

ก่อนหน้าปฏิบัติการดังกล่าว TYONG หลังจากปรับโครงสร้างหนี้แล้ว ก็ได้รับอนุมัติจากศาลล้มละลายกลางให้ออกจากแผนฟื้นฟูกิจการตั้งแต่ปลายปี 2549  แต่ก็มีธุรกรรมน้อยมาก ไม่อยู่ในฐานะที่จะฟื้นกลับมาได้เหมือนเดิมในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ข่าวคราวความเคลื่อนไหวมีให้เห็นแทบจะนับครั้งได้

กระบวนการควบรวมกิจการซึ่งมี บล.ภัทร เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เริ่มตั้งแต่ TYONG เข้าเจรจาซื้อ หรือเทกโอเวอร์ BTSC โดยซื้อหุ้นสามัญของ BTSC จาก Siam Capital Developments (Hong Kong) Limited, กวิน กาญจนพาสน์ โดย Keen Leader Investments Limited, คีรี กาญจนพาสน์ รวมถึงการซื้อและรับโอนกิจการทั้งหมด จากบริษัท สยาม เรลล์ ทรานสปอร์ต แอนด์ อินฟราสตรัคเจอร์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น BTSC ในปัจจุบัน จำนวนรวมประมาณ 15,022.33 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นจำนวน 94.60% ของหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของ BTSC คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 40,034.53 ล้านบาท การเข้าซื้อกิจการดังกล่าว จะแบ่งการชำระเป็นเงินสดจำนวนประมาณ 20,655.71 ล้านบาท (ประมาณ 51.59% ของค่าตอบแทน) และออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทอีกประมาณ 28,166.88 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 0.688 บาท คิดเป็นมูลค่า 19,378.8 ล้านบาท (ประมาณ 48.41% ของค่าตอบแทน) เพื่อชำระค่าหุ้นแทนการชำระด้วยเงินสด ทั้งนี้ บริษัทจะกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน จำนวนรวม 22,000 ล้านบาท เพื่อใช้ชำระค่าหุ้นในส่วนที่เป็นเงินสด และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท

ภายหลังการเข้าซื้อหุ้นสามัญของ BTSC เสร็จสิ้น โครงสร้างผู้ถือหุ้นของ TYONG จะมีการเปลี่ยนแปลง โดยที่ คีรี และกวิน กาญจนพาสน์ จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ มีสัดส่วนการถือหุ้นรวม 41.46% ของหุ้นทั้งหมดของบริษัท และมีกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหม่ 2 กลุ่ม ได้แก่ กองทุนที่บริหารโดย Ashmore Investment Management Limited และกองทุนที่บริหารโดย Farallon Capital Management, L.L.C. ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในปัจจุบันของ BTSC เพื่อให้กระบวนการครบถ้วย TYONG ประกาศซื้อหุ้นสามัญของ BTSC จำนวน 5.4% จากผู้ถือหุ้นรายย่อยอื่นๆ ทั้งหมดของ BTSC โดยชำระค่าหุ้นด้วยการการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทให้ ในราคาไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 0.60 บาท ซึ่งเมื่อครบกระบวนการ BTS จะมีทุนชำระแล้ว 65,142.19 ล้านบาท และมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาที่ใช้ในการแลกหุ้น (Market Capitalization) เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 44,800 ล้านบาท

เนื่องจากฐานะการเงินและสินทรัพย์ของ TYONG ต่ำกว่า BTSC อย่างมาก ทำให้ผลลัพธ์กลับตาลปัตรกันเพราะเข้าข่าย รีเวอร์ส เทคโอเวอร์ (Reversed Takeover : RTO) มีผลให้ BTSC สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ผ่าน TYONG ได้เลย ไม่ต้องทำการขาย IPO ซ้ำอีกตามแผนเดิม

กระบวนการนี้ จึงไปจบสิ้นตรงที่ TYONG จะดำเนินการเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็นบมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ และนำหุ้นเพิ่มทุนของTYONG เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ กลุ่มอุตสาหกรรมบริการย้ายจากอสังหาริมทรัพย์เดิมแม้ว่าบางส่วนของธุรกรรมจะยังมีธุรกิจดังกล่าวอยู่บางส่วน เพื่อให้สอดคล้องกับโครงสร้างรายได้ใหม่ของกลุ่มบริษัทที่ส่วนใหญ่มาจากการ ดำเนินธุรกิจการให้บริการรถไฟฟ้า จึงเปลี่ยนชื่อย่อใหม่เป็น BTS และเปิดให้ซื้อขายตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคมที่ผ่านมา

กระบวนการ RTO จะบรรลุเป้าหมายได้ จะต้องทำการเพิ่มทุน TYONG ให้ได้เสียก่อน ซึ่งคณะกรรมการบริษัทได้เสนอสิ่งตอบแทนและจูงใจในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนโดยการออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant) โดยไม่คิดมูลค่า ให้แก่ผู้ลงทุนทุกรายที่จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนดังกล่าว ในอัตราส่วน 4 หุ้นเพิ่มทุนที่จองซื้อ ต่อ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ โดยใบสำคัญแสดงสิทธิมีอายุ 3 ปี สามารถเริ่มใช้สิทธิครั้งแรกได้เมื่อครบ 2 ปี นับจากวันที่ออก มีราคาใช้สิทธิที่ 0.70 บาท ต่อหุ้น ทั้งนี้คีรี และกวิน กาญจนพาสน์ ได้แสดงความประสงค์ที่จะจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนตามสัดส่วน เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท. ผลพวงต่อเนื่องของวิศวกรรมการเงินดังกล่าว ทำให้ธุรกิจให้เช่าพื้นที่โฆษณา ทั้งภายใน รอบนอกขบวนรถไฟฟ้า รวมถึงในบริเวณสถานีรถไฟฟ้า ดำเนินการโดยกลุ่มวีจีไอซึ่ง BTSC ถือหุ้น 100% และธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งที่ติดกับสถานีรถไฟฟ้า หรือแนวทางเดินรถไฟฟ้าทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมไปถึงที่ตั้งอยู่นอกแนวรถไฟฟ้า และธุรกิจให้บริการ เช่น ธุรกิจบริหารโรงแรม ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และธุรกิจสมาร์ทการ์ด  เข้ามาเป็นสินทรัพย์ของ BTS โดยปริยาย

เมื่อดีลดังกล่าวซึ่งใช้เวลาหลายเดือนยุติลง ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ โครงสร้างรายได้-กำไร-ฐานะการเงินของ TYONG หรือ BTS เปลี่ยนไปในทางดีขึ้น เช่น รายได้เดิมก่อนควบรวม ส่วน ใหญ่ TYONG มีรายได้จากค่ารับเหมาก่อสร้างสูงถึง 71.6% แต่คาดว่าปีหน้ารายได้หลัก 61.3% จะมาจากค่าโดยสาร ส่วนกำไรจากเดิมที่เคยขาดทุนประมาณปีละ 165 ล้านบาท ก็จะพลิกฟื้นเป็นกำไรสุทธิที่ 674 ล้านบาท โดยมีบริษัท VGI Global Media สร้างผลกำไรจากธุรกิจโฆษณานอกบ้าน (Out of Home Media) ได้มากถึง 58% ของกำไรสุทธิทั้งหมด รองมาก็คือกำไรจากธุรกิจรถไฟฟ้า

ด้วยเหตุนี้ ฐานะการเงินก่อนปรับโครงสร้างหนี้ BTSC ที่เคยติดลบ 16,247 ล้านบาทและมีภาระหนี้สินสูงมาก 59,834 ล้านบาท แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการแผนฟื้นฟูได้มีการปรับโครงสร้างหนี้โดยการชำระหนี้เป็นเงินสดรวมราว 23,514 ล้านบาท แปลงหนี้เป็นทุน อีก 16,339 ล้านบาท และปลดภาระหนี้ในส่วนดอกเบี้ยราว 19,343 ล้านบาท ภายหลังออกหุ้นกู้จำนวน 11,873.63 ล้านบาทในปี 2552 จึงทำให้บริษัทสามารถลดภาระหนี้สินลงได้สูงถึง 47,359 ล้านบาท เหลือเพียง 12,475 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 38,703 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2553

ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เหนือความคาดหมายด้วยวิศวกรรมการเงินของปี 2553 ดังกล่าว ทิ้งตำนานแห่งความขมขื่นและเจ็บปวดไว้เบื้องหลังอย่างสิ้นเชิง

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2557

24 วิธีเอาชนะหุ้น

เล่นหุ้นลงทุนในหุ้นพูดไปแล้วไม่ใช่เรื่องยากเรื่องเย็นอะไรพกเงินมาเข้าหาโบรกเกอร์เปิดพอร์ตเล่นหุ้นก็ซื้อขายหุ้นได้แล้ว แต่ที่หวังจะชนะตลาด กำไรจากหุ้นนี่ซิคงไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ ๆ เพราะเท่าที่เห็นนักลงทุนผู้เล่นหุ้นส่วนใหญ่กลายเป็นแมงเม่าในตลาดหุ้นร้องกันระงม ส่วนพวกที่ประสบความสำเร็จก็มีบ้างแต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อย การหวังชนะตลาดหุ้น เล่นหุ้นแล้วรวยคงไม่มีสูตรตายตัวแน่ แต่ก็มีกลยุทธ์แม่ไม้หลายขบวนท่าที่นักลงทุนผู้เล่นหุ้นควรต้องศึกษาเพื่อนำมาใช้เป็นเกาะป้องกันตัวและเป็นเครื่องมือแสวงหาความสำเร็จต่อไป ณ ที่นี้ขอนำวิธีเล่นหุ้น 24 ขบวนท่ามาฝากเพื่อเอาชนะหุ้น ส่วนจะได้ผลมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับท่านทั้งหลาย จะนำไปปรุงแต่งปรับเปลี่ยนกลยุทธ์สร้างแนวคิดต่อยอดค้นหาความสำเร็จกันต่อไป



1. อย่ากลัวกับเรื่องที่จะเสียเวลาต่อการไขว้คว้าหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องหุ้น
เพราะเรื่องราวของการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นมีอะไรให้เรียนรู้มากมายหลายเรื่องไม่จบสิ้น การลงทุนในตลาดหุ้นก็เหมือนกับการทำธุรกิจบริหารบริษัทให้เกิดกำไรดังนั้นต้องรู้จักแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ เพิ่มเติมให้มาก ๆ

2. จงจดจำรายละเอียดเกี่ยวกับตัวหุ้น กลุ่มผู้บริหาร การประกอบธุรกิจ ความเป็นมาเป็นไปของ บริษัททั้งอดีตและปัจจุบัน เพื่อเป็นการตอกย้ำความทรงจำต่อตัวหุ้นทุกแง่ทุกมุม

3. ต้องเข้าถึงข้อมูลทั้งเชิงลึกและตื้นเพื่อให้รู้เท่าทันถึงคุณค่าของตัวหุ้น ในยุคสมัยนี้มีสิ่งใหม่ ๆ ที่เป็นตัวแปร เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจธุรกรรมของบริษัทจดทะเบียนนั้นมีมากเหลือเกิน เช่น การเพิ่มทุน การลดทุน การออกวอแรนต์ การออกหุ้นกู้ การร่วมทุน ฯลฯ ดังนั้นเราจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องศึกษาในตัวหุ้นที่สนใจอย่างลึกซึ้งเพื่อเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดให้ได้



4. ให้น้ำหนักที่จะซื้อหรือถือครองในตัวหุ้นที่มีอัตราการเติบโตที่ดีเท่านั้น เพราะหุ้นในกระดานมีให้เลือกมากมายหลายตัว จึงควรเปรียบเทียบประเมินถึงมูลค่าหุ้นแต่ละตัวโดยเฉพาะการพิจารณาถึงผลการดำเนินงานของหุ้นในอนาคตว่าจะมีอัตราการเติบโตเป็นเช่นใด และก็ควรเลือกหุ้นที่มีอัตราการเติบโตโดดเด่น เพื่อความสำเร็จต่อการลงทุนที่ดีของเรา

5. อย่าปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลในการตัดสินใจต่อการลงทุนทุกครั้งทุกรอบ เพราะการใช้อารมณ์ในการตัดสินลงทุนมักก่อให้เกิดความผิดพลาดได้เสมอ หลักในการลงทุนที่แท้จริงนั้นควรต้องใช้เหตุและผลเข้าอ้างอิงพิจารณาลงทุน ดังนั้นการใช้อารมณ์จึงไม่ใช่เครื่องมือที่นำมาตัดสินใจลงทุน

6. เมื่อมีปัญหาในการลงทุนควรใช้หลักแห่งความน่าจะเป็น หรือความเป็นไปได้ในการตัดสินใจแก้ไขปัญหา เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นตามมาให้ได้

7. ในขณะที่แนวโน้มตลาดหุ้นทรุดตัวลง อย่าปล่อยให้เวลาผ่านพ้นไปโดยไม่แก้ไข หรือปรับปรุงพอร์ต เพราะนั่นเท่ากับว่าเรายอมพ่ายแพ้ต่อภาวะตลาดซึ่งจะทำให้เสียหายและแก้ไขยากเมื่อเวลาผ่านไปนานๆ

8. ควรตัดสินใจอย่างฉับพลันที่จะซื้อหรือขายหุ้นโดยทันที เมื่อมองเห็นหรือสามารถคาดการณ์ภาวะตลาดว่าจะไปในทิศทางไหน

9. มีขอบเขตในการปรับตัว พร้อมเปลี่ยนแปลงต่อภาวการณ์ลงทุนได้ทุกเมื่อ เพราะการปรับเปลี่ยนที่คล่องตัว ย่อมทำให้ได้เปรียบต่อการลงทุนอย่างยิ่ง

10. ห้ามโกหกตัวเองด้วยความคิดที่เข้าข้างตนเองเสมอ ทั้งที่ข้อมูลชี้ชัดว่าทิศทางแนวโน้มจะเป็นเช่นใด ราคาหุ้นเริ่มตอบสนองความเล วร้ายในแง่ปัจจัยกระทบ แต่ตัวเองกับมองว่าเดี๋ยวทุกอย่างคงคลี่คลายดีขึ้น เพราะตัวเองถือหุ้นอยู่ นั้นจะทำให้ท่านไม่สามารถค้นหาความจริงได้

11. อย่าคาดคั้นหาคำตอบในทางตรงกันข้ามกับความเป็นจริง เช่น ทำไมหุ้นตัวนี้ไม่ขึ้น หุ้นตัวนั้นไม่วิ่ง ทั้งที่ความจริงหุ้นตัวนั้น ๆ มีปัจจัยพื้นฐานแย่ เพราะอาจทำให้เราเกิดหลงทางได้

12. จงพยายามฝึกฝนตนเองเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นให้เกิดการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ ทั้งแง่การติดตามปัจจัยพื้นฐาน และปัจจัยทางด้านเทคนิค

13. ไม่ควรคาดหวังกับผลการลงทุนในเชิงบวกมากเกินไปนัก เพราะอาจทำให้ผิดหวัง จงจำไว้เสมอว่าการลงทุนในตลาดหุ้นความแน่นอนคือความไม่แน่นอนเพียงแต่ว่าเราควรหาวิธีลดความเสี่ยงในการลงทุนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว

14. ห้ามยึดติดกับการชักชวนหรือชี้นำของใครคนใดคนหนึ่งให้ซื้อหรือขายหุ้น โดยที่เราเองไม่ได้ไตร่ตรองเสียก่อน นั่นเท่ากับว่าเรานั้นไม่มีหลักคิดในการลงทุนเลยแม้แต่น้อยซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายตามมาได้

15. ซื่อสัตย์ต่อตนเองเสมอ โดยเฉพาะในเรื่องของหลักการลงทุน เราจะลงทุนในหุ้นโดยไม่ออกนอกกรอบกติกา เช่นไม่ไล่ซื้อหุ้นด้วยอารมณ์ ไม่ขายหุ้นเพราะคล้อยตามผู้อื่น ไม่ซื้อหุ้นเกินตัว ถ้าเราซื่อสัตย์ต่อตนเองต่อกติกา เราก็สามารถแสวงหากำไรและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน

16. ควรให้โอกาสตนเองเสมอในการแก้ไขข้อผิดพลาด เพราะการลงทุนย่อมเกิดความผิดพลาดได้ทุกเมื่อ ดังนั้นไม่ควรท้อแท้หรือเบื่อหน่ายตนเอง แต่ควรหาจุดแก้ไขข้อบกพร่อง ขจัดจุดอ่อน และแสวงหาจุดแข็ง เพื่อการลงทุนที่ถูกหลักถูกต้องต่อไป

17. อย่าทำตัวเป็นคนเก่งในตลาดหุ้นโดยไม่ยอมรับข้อมูลใด ๆ อย่าเชื่อมั่นตนเองจนเกินเลย เพราะอาจทำให้เราเวียนวนอยู่ในมุมอับของข้อมูล และจะไม่สามารถเข้าถึงสิ่งที่เป็นจริงเหนือความคิดของตนเองได้

18. จงแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ เปิดวิชั่นให้กว้างไกล อย่าสกัดกั้นตนเองในกรอบแคบ ๆ ควรรับรู้ข่าวสารข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และควรรู้จักประเมิน พิจารณาใช้วิจารณาณอย่างถูกต้องเพื่อการลงทุนที่จะได้มาซึ่งผลประโยชน์มากที่สุด

19. ต้องรู้จักการเรียนรู้ นึกถึงข้อดี ข้อเสีย ในการลงทุนทุก ๆ จุดที่ผ่านมา ค้นหาความได้เปรียบเสียเปรียบ เพื่อนำมาปรับปรุง ให้ได้จุดแข็งที่ดีที่สุดต่อการลงทุนในอนาคต

20. มีความรู้สึกที่ยินดี แสดงความดีใจกับเพื่อนนักลงทุนที่คุ้นเคยเมื่อพวกเขาเหล่านั้นสามารถทำกำไรจากตลาดหุ้นได้ และหลีกเลี่ยงการแสดงอาการหรือคำพูดที่ส่อเสียดก้าวร้าวกับเพื่อนนักลงทุน เพราะจะทำให้เรานั้นขาดมิตร และไร้เพื่อนคู่คิดต่อการลงทุนได้

21. อย่าปิดกั้นตนเองในการมองหุ้นหรือค้นหาหุ้นทั้งกระดานเพียงแค่คิดจะเล่นหุ้นอยู่ในกลุ่มไม่กี่หมวดกี่ตัวเท่านั้น เพราะหุ้นในกระดานกว่า 500 ตัว มีให้เลือกอย่ามองเพียงแค่หุ้นสองสามตัวที่คุ้นเคยเท่านั้นเอง

22. รู้จักที่จะมองหุ้นพิจารณาว่าซื้อหรือขายด้วยการทำการบ้าน ประเมินมูลค่าหุ้นมองทิศทางหุ้นด้วยตนเอง ซึ่งจะทำให้เรานั้นสามารถรู้ลึกรู้คุณค่าหุ้นที่เหมาะสมและลงทุนได้ถูกต้องถูกตัวในเวลาที่เหมาะสม

23. คิดถึงอนาคตเสมอ จะซื้อหุ้นควรมองมูลค่าหุ้นในอนาคต ควรคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคต เพราะราคาหุ้นนั้นจะเดินหน้าหรือถอยหลังคงขึ้นอยู่กับการดำเนินงานที่แท้จริงในอนาคตเท่านั้นเอง

24. ต้องรู้จักรักตัวเองให้มาก ๆ อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่แล้วว่าการลงทุนนั้นมีความเสี่ยงสูง พลาดท่าเสียทีอาจจะเสียคนหมดอนาคตได้ ด้งนั้นการลงทุนทุกรอบทุกครั้งควรตระหนักพิจารณาอย่างถ้วนถี่หากมองแล้วมีโอกาสชนะมากกว่า 70 ถึง 80 เปอร์เซนต์ค่อยน่าสู้ จงคิดถึงตัวเองและรักตัวเองเสมอเพราะถ้าลงทุนแล้วผิดพลาดเราเองนั้นละที่จะเจ็บปวดสุด ๆ

วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ประวัติ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เกิดในครอบครัวคนจีนยากจนที่กรุงเทพมหานครในย่านตรอกจันทน์ เขตยานนาวา เขาไม่ทราบแม้วันเกิดที่แท้จริงของตัวเอง บิดามารดาเป็นคนจีนกวางตุ้ง เดินทางมาจากเมืองจีนแบบเสื่อผืนหมอนใบ สมัยเด็กอยู่บ้านหลังคามุงจาก พ่อเป็นช่างก่อสร้าง หาเช้ากินค่ำ ความเป็นอยู่ลำบากมาก ของขวัญวันเกิดที่วิเศษมากสำหรับเขาคือได้กินบะหมี่หนึ่งชาม

ดร.นิเวศน์มีพี่น้องสามคน โดยตัวเองเป็นคนสุดท้อง และเป็นคนเดียวในครอบครัวที่ได้เรียนหนังสือ เด็กชายนิเวศน์เริ่มเรียนหนังสือที่ “โรงเรียนวัดดอน” (วัดที่ร่ำลือไปทั่วประเทศว่ามีป่าช้าผีดุมาก คือ “ป่าช้าวัดดอน” นั่นเอง) จนถึง ป.7 แล้วมาศึกษาต่อมัธยมศึกษาที่ รร.วัดสุทธิวราราม จนถึง ม.3 ก่อนจะสอบเข้า ม.ปลาย ที่ รร.เตรียมอุดมศึกษา

สมัยเด็ก เขาเคยทำการค้าเล็กๆ น้อยๆ โดยซื้อหมากฝรั่งหนึ่งแถวราคา 7.50 บาท เอามาขายปลีก ขายจนหมดทั้งแถวได้เงิน 11 บาท แล้วเอาไปซื้อขนมอื่นๆ จากตลาดน้อยมาขายเพิ่ม (คล้ายกับวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ซื้อโค้กหนึ่งแพ็คมาขายปลีกยังไงยังงั้น)

ดร.นิเวศน์เป็นคนเรียนดีมาโดยตลอด วิชาที่เขาชอบมากคือคณิตศาสตร์และเรขาคณิต แม้จะเรียนเก่ง แต่เขาไม่สนใจที่จะเรียนแพทย์ เพราะไม่ชอบวิชาชีววิทยา และรู้สึกว่าอาชีพหมอใช้เวลาเรียนนานเกิน เนื่องจากตัวเขาฐานะยากจน จึงอยากเรียนจบเร็วๆ เพื่อออกมาทำงานหาเงินใช้มากกว่า ทำให้ตัดสินใจสอบเอ็นทรานซ์เข้าเรียนที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาเครื่องกล

ระหว่างเรียนที่จุฬาฯ ดร.นิเวศน์ทำกิจกรรมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการออกค่าย สร้างฝายเก็บน้ำ ทำห้องสมุดให้กับเด็กยากไร้ ฯลฯ ซึ่งทำให้เขาได้เห็นโลกในมุมมองที่กว้างขวางขึ้น เขาบอกว่า ประสบการณ์ชีวิตสมัยเรียนปริญญาตรี มีส่วนสำคัญที่สุดในการหล่อหลอมให้เขาเป็นตัวเขาอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

หลังจากเรียนจบ งานแรกของ ดร.นิเวศน์ คือทำงานที่โรงงานน้ำตาลแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ที่ต่างจังหวัด เหตุผลที่เลือกงานดังกล่าวเพราะมี OT ทำให้ได้เงินเดือนเพิ่มเกือบสองเท่า ทั้งยังกินอยู่ฟรี หลังจากทำงานได้สองปี ดร.นิเวศน์ ได้มาเรียนต่อปริญญาโทที่นิด้า สาขาการตลาด จากการชักชวนของ ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา เพื่อนสนิท

พอจบโทได้สองปี ดร.นิเวศน์จึงลาออกจากงานที่โรงงานน้ำตาล เพื่อตาม ดร.ไพบูลย์ ไปเรียนต่อปริญญาเอกที่สหรัฐอเมริกา ณ University of Mississippi โดยต้องสอบโทเฟลถึงสองรอบจึงผ่าน เนื่องจากไม่เก่งภาษาอังกฤษ

ครั้นจบปริญญาเอก ได้เป็นด็อกเตอร์ เขาจึงกลับมาเมืองไทย และเข้าสู่แวดวงการเงินเป็นครั้งแรก โดยไปทำงานที่ IFCT ก่อนจะย้ายไปทำงานที่นวธนกิจ เมื่อนวธรกิจปิดกิจการจึงไปเป็นที่ปรึกษาของดีแทค และไปทำงานที่ธนาคารนครหลวงไทยเป็นที่สุดท้าย

ดร.นิเวศน์เริ่ม “เล่นหุ้น” ในปี 2539 ระหว่างทำงานที่นวธรกิจ โดยใช้วิธีเก็งกำไร ซื้อๆ ขายๆ เหมือนนักลงทุนทั่วไป ก่อนจะเบนเข็มมาศึกษาแนวทาง “การลงทุนแบบเน้นคุณค่า” โดยอ่านคัมภีร์ของกูรูระดับโลกมากมายหลายเล่ม ที่สำคัญคือหนังสือ “The Intelligent Investor” ของเบนจามิน เกรแฮม ซึ่งเป็นเล่มเดียวกับที่จุดประกายให้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ สนใจการลงทุน เช่นเดียวกับ ดร.นิเวศน์เองที่ตัดสินใจเลือกแนวทางนี้ตลอดมา

ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งปี 40 ดร.นิเวศน์ได้ใช้แนวทาง Value Investment เข้าไปเก็บหุ้นไทยในภาวะที่หุ้นทั้งตลาดราคาถูกมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ด้วยเงินต้น “10 ล้านบาท” ที่เก็บหอมรอมริบจากการทำงานประจำมาตลอดชีวิต ก่อนจะใช้เวลาสิบปี ทำให้พอร์ตการลงทุนเติบโตขึ้นจนมีมูลค่ากว่า “1,000 ล้านบาท” !!

นอกจากการเป็นนักลงทุนแล้ว ในปี 2541 เขายังได้เขียนหนังสือชื่อ “ตีแตก” ซึ่งเป็นเรื่องราวของโอกาสและความเป็นไปได้เพื่อประยุกต์ใช้กับการลงทุน และกลายเป็นหนังสือการลงทุนยอดนิยมของเมืองไทยมาเป็นเวลากว่าหนึ่งทศวรรษจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้ เขายังมีผลงานหนังสืออีกหลายเล่ม และจัดรายการโทรทัศน์ – วิทยุ ซึ่งมีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก

ดร.นิเวศน์ บอกว่าจุดเปลี่ยนที่ทำให้เลือกเส้นทางเดินนี้ก็เพราะเขาได้ค้นพบตัวเองแล้วว่าชีวิตของเขาจะต้องเป็น “นักลงทุน” เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เขาบอกว่าตนเองได้รู้เป้าหมายของชีวิตอย่างชัดเจน จึงเลือกที่จะทำในสิ่งที่นำตัวเองไปมุ่งสู่เป้าหมายที่ต้องการ โดยจะไม่ “แวะข้างทาง” ให้เสียเวลาอีกต่อไป

ทุกวันนี้ แม้จะไม่เป็นที่เปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่จากการคิดคำนวณของ VI ไทยหลายคน คาดกันว่าพอร์ตการลงทุนของ ดร.นิเวศน์ มีค่าร่วม 1,500 ล้าน หรืออาจจะเกิน 2,000 ล้านบาท เอาเฉพาะเงินปันผลของเขาแต่ละปี ก็เกินกว่าเงินต้น 10 ล้านบาทที่เริ่มลงทุนไปหลายต่อหลายเท่า

คุณูปการของ ดร.นิเวศน์ ประการหนึ่งซึ่งประเมินค่าไม่ได้สำหรับแวดวงการลงทุนไทยก็คือ เขาเป็นผู้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า การลงทุนแบบเน้นคุณค่านั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปได้จริงในประเทศนี้ และลบล้างความเชื่อที่ว่า ตลาดหลักทรัพย์ไทยไม่สามารถใช้การลงทุนแบบเน้นพื้นฐานออกไปได้อย่างถาวร

ทุกวันนี้ หลายคนขนานนาม ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ว่าเป็น “วอร์เรน บัฟเฟตต์ เมืองไทย” แต่ที่แน่ๆ เขาคือ “ต้นแบบของวีไอไทย” ตัวจริงเสียงจริง ชนิดที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธอย่างแน่นอน

วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ครึ่งชีวิต.... กับ แนวคิด 10 เรื่อง ของ Steve Jobs

 ครึ่งชีวิต.... กับ แนวคิด 10 เรื่อง ของ  Steve Jobs

1. เรา ไม่เสียใจ กับเรื่อง ที่ ได้ทำ ไม่ว่า ผล จะเป็น ยังไง ก็ตาม แต่ เราจะ เสียใจ กับ เรื่อง ที่ ไม่ได้ทำ มากกว่า

2. เรา เห็นโลก ในแบบ ที่ เราเป็น ไม่ใช่ แบบที่ มันเป็น : คนมองโลกบวก จะเห็น ทุกอย่าง เป็น โอกาส ชีวิต จะเต็ม ไปด้วย ความสุข มัน เป็น แบบนั้น จริง ๆ

3. เราต้อง ทุ่มพลัง ไปกับ เรื่อง ที่เรา ถนัดจริง ๆ ให้เราเป็น expert ในเรื่อง นั้น แล้วงาน ที่ ออกมา จะ ชั้นหนึ่ง

4. อย่ากลัว การ เปลี่ยนแปลง ผล ของมัน มักจะ ดีเสมอ ถึงตอน แรก ๆ จะดู ไม่ออก ก็ตาม

5. ทุกคำ ล้อเล่น จากเพื่อน มี ความจริง ครึ่งนึง เราเพิ่ง มาเห็นกัน ตอนโต ๆ นี่เอง

6. เวลาคือ commodity ที่ มีค่า มากที่สุด

7. พัฒนา ตัวเอง อย่าง ต่อเนื่อง และ สม่ำเสมอ วินัย ในการ พัฒนา ตัวเอง เป็นสิ่งที่ แยก ระหว่าง คนที่ สำเร็จ กับ คนที่ ล้มเหลว

8. การ ลงทุน ในครอบครัว เป็น สิ่งที่ คุ้มค่า ที่สุด : พ่อแม่ ไม่อยู่ ให้ดูแล ตลอดไป ลูก ก็ไม่ ไร้เดียงสา ตลอดไป

9. สะสม เรื่องราว ให้มากกว่า สิ่งของ : เมื่อเวลา ยิ่งผ่านไป สิ่งของ จะมีค่า กับเรา น้อยลง แต่ เรื่องราว จะมีค่า กับเรา มากขึ้น

10. เลือก คนที่ จะอยู่ รอบตัวเรา ให้ดี เพราะ ยิ่งนานวัน นิสัย ของเรา และ คน เหล่านี้ จะค่อย ๆ กลมกลืน เข้าหากัน !

วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2557

กฎ 14 ข้อที่อยากให้นักลงทุนและนักเก็งกำไรทุกคนทราบและนึกถึงตลอดเวลา

กฎ 14 ข้อที่อยากให้นักลงทุนและนักเก็งกำไรทุกคนทราบและนึกถึงตลอดเวลา

เล่นหุ้นอย่างไร ให้ได้กำไร? 
1. อย่าหวังว่าจะซื้อหุ้นได้ในราคาต่ำที่สุด
2. อย่าหวังว่าจะขายหุ้นได้ในราคาสูงที่สุด
3. อย่าฝืนตลาด ถ้าเป็นขาขึ้นต้องทนรวย ถ้าเป็นขาลงต้องออกให้ไว
4. อย่าซื้อหุ้นไม้เดียว ให้ทยอยซื้ออย่างน้อย 3 ไม้
5. กำหนดจุดขายทำกำไร และจุดตัดขาดทุน
6. อย่าไปเสียดายถ้าขายหมู เพราะหุ้นมีให้เล่นอยู่เสมอ หาเมื่อไหร่ก็หาได้
7. ซื้อเพราะเหตุผลไหน ก็ให้ขายเพราะเหตุผลนั้น
8. ให้เชื่อตนเอง อย่าไปเชื่อคนอื่น
9. จะเล่นสั้น 2-3 วัน ก็อย่าไปดูพื้นฐาน 2-3 ปี มันไม่เกี่ยวกัน
10. อย่าโลภ!! เพราะการ "เล่นหุ้น" ที่ถูกวิธี ต้องมีกระสุนติดมือพร้อมยิงอยู่เสมอ
11. ของแพง ยังแพงต่อไปได้อีก อย่ากลัวที่จะซื้อหุ้นราคานิวไฮท์ 
12. ซื้อหุ้นเก็งกำไร อะไรก็ได้ แต่ซื้อแล้วขอให้มันไป ถ้าซื้อมาแล้ว 2-3 วันมันไม่ไปไหน ถือว่าเป็นหุ้นบูด ให้ขายทิ้ง แล้วหาตัวใหม่
13. อย่าสวนกระแส ตลาดเล่นอะไร ก็เล่นตามกันไป เช่นเล่นพลังงานทางเลือก ก็ไปเล่นพลังงานหลัก
14. สำคัญที่สุด.. คือ.. อย่าหวังรวยจนฐานะเปลี่ยนจากการเล่นหุ้น เพราะไม่ยั่งยืน มีได้ มีเสีย ระยะยาวแล้ว การลงทุนในหุ้นจะยั่งยืนที่สุด

วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

แนวคิดการเล่นหุ้แบบสั้นๆ


แนวคิดที่การเล่นหุ้น
1.เปลี่ยนหุ้นไปเรื่อยๆไม่มีหุ้นไหนขึ้นตลอด
2."รู้งี้" บ่อยๆ จะทำให้เราสำนึกตอนเทรดผิด
3.อย่าเล่นหุ้นขาลง / underperform
4.อย่ารักหุ้นเกินไป
5.ดูกราฟก่อนซื้อทุกครั้ง
6.จำ pattern ได้/เสีย 
7.เล่นตามสัญญาณซื้อ-ขาย
8.อย่าฟังเจ้าของ 
9.รู้เหมือนกันหมด และหุ้นไป ok!
   รู้เหมือนกันหมด หุ้นไม่ไป  bye!
10.ลงทุนในส่วนต่าง ซื้อแพงขายแพงกว่า
 

วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557

Impact growth REIT สู่ความเป็นเจ้าของร่วม

ในช่วงวันที่ 8-12 ก.ย. นี้จะมีกองทรัสต์ ( ขออนุญาตเรียกว่ากองทุนเพื่อความฟังดูคุ้นเคย) ที่จะขาย ipo ที่ราคาระหว่าง 10.3 - 10.6 บาทต่อหน่วย ผมรวบรวมรายละเอียดสำหรับผู้สนใจไว้เสั้นๆเพื่อช่วยตัดสินใจครับ



  • กองทุนนี้เป็นกองทุนประเภท free hold คือผู้ถือหน่วยลงทุนมีกรรมสิทธ์โดยไม่มีกำหนดอายุสามารถส่งมอบเป็มรดกได้ และมีขนาดกองทุนลง รวมไม่เกิน 20,000 ล้านบาท
  • เป็นกองทุน REIT ( Real Estate Investment Trust) กองแรกของประเทศไทย และทาง bland (เจ้าของเดิม) สามารถบริหารงานต่อได้ต่างจากกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ( property fund ) ที่ต้องให้ทางสถาบันการเงินบริหารแทน ทำให้มีความเชี่ยวชาญในการบริหารอสังหาริมทรัพย์มากกว่า
  • กองทุน REIT สามารถกู้ได้ไม่เกิน 35% ( IMPACT GROWTH REAT จะกู้ไม่เกิน 20%) ขณะที่กองทุนอสังหาริมทรัพย์กู้ได้เพียง 20% เพื่อใช้ในการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ มีความยืดหยุ่นในการจัดหาเงินทุนเพื่อขยายธุรกิจมากกว่ากองทุนอสังหาริมทรัพย์
  • มีทรัพย์สิน 4 อาคารในกองทุน 
  1 ศูนย์จัดการแสดงอิมแพ็คอารีน่า (IMPACT Arena) ปกติมักใช้จัด concert ต่างๆ
  2 ศูนย์แสดงสินค้าและนิทรรศการนานาชาติรวมถึงสถานที่สำหรับจัดงานในร่ม (IMPACT Exhibition Center)
  3 ศูนย์การประชุมอิมแพ็คฟอรั่ม (IMPACT Forum) ใช้ในงานสัมนาต่างๆ
  4 อาคารอิมแพ็คชาเลนเจอร์ (IMPACT Challenger) จัดงานทั่วไปเช่น OTOP , Motor Expo
 ทรัพย์สินที่ไม่ลงทุน คือ โรงแรมโนวาเทล ทันเดอร์โดม ลานจอดรถภายนอกอาคาร

  • มีอัตราการใช้พื้นที่ทั้ง 4อาคารเฉลี่ย ดังนี้


  • เป็นศูนย์จัดนิทรรศการและการประชุม ที่ครบวงจรและใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพื้นที่จัดแสดงถึง 122,165 ตร.ม. ได้ให้บริการจัดงานมามากกว่า 8,000 งานจากทั่วทุกมุมโลก มีจุดเด่นเช่น มีจุดขึ้นลงทางด่วนลงที่ศูนย์พอดี และสามารถใช้ทางด่วนขากลับได้เลย
  • มีผู้ดูแลกองทุนเป็นธนาคารกสิกรไทยและบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายหน่วยทรัสต์ และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย ในฐานะผู้ดูแลผลประโยชน์ หรือ ทรัสตี ให้แก่ทรัสต์เพื่อการลงทุน
  • รายได้มาจาก 4 ทางหลัก คิดจากโครงสร้างรายได้รวม
1 ค่าเช่า/ให้ใชัพื้นที่จัดงาน 86.13%
2 ค่าเช่า/ให้ใช้พื้นที่ระยะยาว 5.21%
3 ค่าเช่า/พื้นที่โฆษณา จัดเลี้ยง 6.17%
4 ค่าที่จอดรถ 2.4%
รายได้จากสมมติฐานโดยประมาณการจาก 1เม.ย 2557 - 31มี.ค.  2558 ข้อมูลตรงนี้แปรผันได้ตามสภาวะเศรษฐกิจ และความไม่แน่นอนนะครับ

ค่าใช้จ่ายในการบริหาร


ด้านความเสี่ยงหลักๆ มาจากความต้องการการใช้พื้นที่ในการจัดงานแสดงสินค้าและนิทรรศการของ ผู้จัดงาน และ ผู้บริหารไม่สามารถดำเนินงานตามแผนการลงทุนให้สำเร็จได้
ผมได้ฟังผู้บริหารว่าตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา มีรายได้เติบโตเฉลี่ย 8-10%  อาจจะสามารถปันผลให้ได้ประมาณ 6% ต่อปี จากราคา ipo (ประมาณการ) โดยจ่ายปันผล 90% ของกำไรสุทธิ ถือว่าใช้ได้สำหรับ กองทุนประเภท free hold แต่อย่าเอาไปเทียบกับ lease hold เช่น cpnrf นะครับถือว่าเป็นทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงนอกเหนือจากการลงทุนในหุ้น สำหรับนักลงทุนที่เน้นการลงทุนรับเงินปันผล และมีสภาพคล่องในการซื้อขายเนื่องจากสามารถซื้อขายในตลาดหุ้นได้ ลองพิจารณาประกอบการตัดสินใจในการลงทุนดูนะครับ

วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2557

แชร์ประสบการณ์ ซื้อ iphone 5s 32 ในราคา 6000 บาท

ผมได้รับทราบว่า dtac มีออกโปรโมชั่นแรง ย้ายค่ายมา dtac ด้วยเบอร์เดิม จะสามารถซื้อ iphone 5s ในราคาเพียง 6000 บาท จากใน pantip.com
แคมเปญ Super MNP   ย้ายค่ายเบอร์เดิมซื้อ iPhone 5s 32GB, HTC One M8 และ HTC Desire 816 ในราคาพิเศษเพียง 6000 บาท โดยต้องใช้ package 599 เป็นเวลา 1 ปีและชำระค่าบริการล่วงหน้าด้วย


โดยโปรโมชั่นนี้ไม่มีการโฆษณาในทางใดๆ ยกเว้นป้ายโฆษณาหน้า shop dtac แล้ว สมาชิกใน pantip มาพูดถึงกัน ผมจึงไม่รอช้า ไม่รอคิดรีบไปที่ dtac สาขาพารากอน ในวันอาทิตย์ที่ 24 สค ที่ผ่านมาทันที โดยเข้าไปถามพนักงานที่ dtac ก่อนว่าถ้าเราย้ายตอนนี้จะได้ iphone หรือไม่ พนักงานค่อนข้างลังเลใจนิดที่จะตอบ สุดท้ายพนักงานก็บอกว่าถ้าทำเรื่องย้ายวันนี้น่าจะได้ครับ ไวกว่าได้ก่อน

เบอร์เดิมผมเป็น True ที่พารากอน shop True อยู่ตรงข้าม dtac พอดีเลย พอเข้าไปขอย้ายพนักงาน True ก็ถามตามฟอร์มว่าย้ายเพราะไม่สะดวกอะไร พอตอบไปว่า ย้ายเพื่อไปซื้อเครื่อง dtac ราคาพิเศษ พนักงานก็ไม่รั้งไว้เลยครับ สงสัยจะทำใจว่ามีลูกค้ามาย้ายเพราะเหตุผลนี้เยอะจากนั้นก็ชำระยอดคงค้างที่แล้ว แล้วตรงไปทำเรื่องที่ dtac ทันที ที่น่าแปลกใจคือไม่เห็นมีคนอื่นมาย้ายเพราะโปรนี้เลย ผมเดาว่าเพราะทาง dtac ไม่ได้โฆษณาประชาสัมพันธ์ออกสื่อเหมือนกับ โปรโมชั่น หรือแคมเปญอื่นๆเลย คงกลัวว่าถ้าคนรู้เยอะจะมาถล่ม shop เหมือนเหตุการณ์เมื่อ 2 ปีที่แล้วที่ซื้อ iphone ครึ่งราคาที่จัดที่สยามพารกอนที่คนมาแถบเหยียบกันตาย เป็นข่าวดังมากๆ ช่วงการทำเรื่องย้ายค่ายมา dtac ราบรื่นมากครับ พนักงานให้เราใช้ โปรสำรอง 299 ไปก่อนเมื่อย้ายค่ายเสร็จ ใช้เวลาย้ายค่ายเพียง 2 วันครับ และพนักงาน dtac ก็โทรมาให้ไปรับเครื่องที่ พารากอนในวันที่ 2 ก.ค. ครับ พนักงานบอกว่าถ้าอยากเลือกสีให้ไปเร็วหน่อย

พอวันที่ 2 ก.ค. ก็ตรงไปรับเครื่องเลยครับพอดีผมทำงานเลยได้ไปหลัง 6 โมงเย็น ก็ได้เครื่องสมใจหมายครับ เครื่องเลือกสีไม่ได้นะครับ dtac จัดมาให้เลยเป็นสีขาว ( คงเหลือใน stock เยอะ)


สรุปงานนี้ย้ายค่าย จาก True ไป Dtac ได้ iphone 5S 32G โดยชำระ ค่าเครื่อง และค่าบริการล่วงหน้า 599 x 12  รวม Vat 7%+ 6000 เป็น 13691 บาท เฉพาะค่าเครื่อง 6000บาทสามารถผ่อนผ่านบัตรเครดิต scb ได้ครับ ถือว่าคุ้มมากๆ ครับ ยินด้วยกับเพื่อนๆ ที่สมหวังย้ายค่ายและได้เครื่องตามต้องการ ครับ 
ป.ล. ผมก็มีเบอร์ dtac อีกเบอร์ที่ใช้มาแล้ว 13 ปีด้วย ลูกค้าเก่าอย่าเพิ่งน้อยใจนะครับ :)


วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เกมที่ไม่เคยชนะกับหุ้น ABC

ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนที่ชื่นชอบหุ้นร้อนคงได้ยินชื่อ ABC ที่ทำสถิติขึ้นติด Ceiling 6 วันติดต่อกัน จาก 1.84 บาท เป็น 8.2 บาท หรือ 445% ภายใน 6 วันทำการ (แต่จริงแล้วราคาจากดังเดิมเพียง 0.38 บาท) บริษัทนี้เคยเป็นบริษัทที่รับทำถุงเท้าให้ brand ต่างๆหลายยี่ห้อ (เท่าที่ทราบไม่มี carson ที่ทุกคนใส่กัน ) จากนั้นเปลี่ยนแนวมาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และมี story ที่กำลังไปได้สวยกับธุรกิจใหม่

ถ้าเราลองจินตนาการว่าใครโชคดีมีหุ้นตัวนี้ติดมือมาก่อน จะกำไรทันที่มากกว่าคนลงทุนระยาวเป็น 10 ปีเสียด้วยซ้ำ แต่ถ้าเรามองอีกด้านนี้หุ้นตัวนี้ไม่ได้ทำมาเพื่อให้นักลงทุนรายย่อยกำไร แต่อาจเป็นหุ้นที่ถูกสร้างมาหาเงินจากเราต่างหาก เป็นเกมหุ้นปั่นซึ่งเป็นเกมส์ที่เราไม่เคยชนะ

ABC ณวันที่ 28 ส.ค. 2557 ที่ใกล้จะเป็นช่วงก่อนเจ้ามือจะทิ้งหุ้นทำกำไร

ผมขออนุญาตินำบทความที่ผมได้เรียนรู้มาจาก คุณ เสาวนีย์ สุวรรณรงค์ ที่อธิบายเกมนี้ได้ค่อนข้างดีมาก มาประกอบในการตัดสินใจที่จะลงทุน กับเกมนี้ที่เราอาจจะไม่ชนะ

เกมปั่นหุ้น เพียงเพราะคิดว่าเป็นโอกาสได้กำไรง่ายและเร็ว แต่ในสายตาของเจ้ามือ นี่คือการจัดปาร์ตี้ล่อเหยื่อเพื่อรอทำกำไร ก่อนจะจากไปโดยทิ้งไว้แต่ความเสียหายให้เหยื่อและภาพลักษณ์ที่เสื่อมเสียของตลาดหุ้น!!! เกมปั่นหุ้นเป็นเกมที่เจ้ามือเป็นผู้กำหนดกติกา ควบคุมเกมทุกจุด ตั้งแต่เลือกเก็บหุ้น ตั้งราคาเป้าหมาย เจาะจงจังหวะทำกำไร ที่ร้ายที่สุดคือ ตัวเองลงมาเล่นด้วย โดยผู้ร่วมเล่นอื่นหรือเหยื่อ (ทั้งที่เต็มใจและไม่รู้อิโหน่อิเหน่) ไม่มีทางรู้กติกาของเจ้ามือ (ซึ่งขณะเดียวกันก็เป็นผู้ร่วมเล่น) แค่นี้ก็เห็นแล้วว่าเอาเปรียบกันชัดๆ แล้วอย่างนี้ใครจะชนะหรือทันเจ้ามือได้ภาพจำลองเกมปั่นหุ้น จากข้อมูลที่ ก.ล.ต. ตรวจพบและเก็บสถิติไว้ พบว่า รูปแบบของเกมปั่นหุ้นมักเป็นกราฟภูเขายอดแหลม ประกอบด้วย 4 ช่วง คือ (1) เก็บ (2) ปั่น (3) ทำกำไร แล้ว (4) ทิ้ง


หุ้นที่ถูกเลือกมาปั่นราคา มักเป็นหุ้นที่มีมูลค่าตลาดต่ำ มีปริมาณการซื้อขายน้อยมากหรือแทบไม่มี และไม่อยู่ในความสนใจหรือพอร์ตของผู้ลงทุนสถาบัน เพราะเจ้ามือจะสามารถควบคุมราคาได้ง่าย แล้วเริ่มเปิดเกมด้วย
1 ทยอยเก็บสะสมหุ้น ให้ได้จำนวนตามที่ต้องการ ซึ่งระยะนี้เจ้ามือจะทำอย่างค่อยๆ เงียบ ๆ ไม่กระโตกกระตากเพื่อไม่ให้ราคาพุ่ง ต้นทุนจะได้ไม่สูง จากนั้นเข้าสู่ช่วง
2 ปั่นราคาให้สูง โดยเจ้ามือจะอัดปริมาณซื้อขายให้มากๆ ด้วยการโยนหุ้นไปมาระหว่างสมาชิกในกลุ่มเจ้ามือ ผสมโรงกับข่าวลือเพื่อสร้างความน่าสนใจจนหลายคนแห่เข้ามาซื้อ ดันให้ราคาหุ้นขึ้น อาจชน Ceiling 30% ติดต่อกันหลายวัน กราฟราคาช่วงนี้จะชันมาก และเมื่อปั่นราคาจนถึงเป้าหมาย ก็เข้าสู่ช่วง 3 ทำกำไร เจ้ามือจะทำการปล่อยของ ซึ่งมีทั้งแบบทิ้งรอบเดียวจบ และทยอยปล่อยเป็นล็อตๆ เพื่อให้สามารถปล่อยที่ราคาสูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  โดยไม่ทำให้เหยื่อรู้ตัว พอเจ้ามือทิ้ง ราคาหุ้นนั้นก็ร่วง ผู้ลงทุนที่ไม่ใช่กลุ่มเจ้ามือจึงพากันติดอยู่ในช่วงนี้ หลังจากเจ้ามืออิ่มหมีพีมันแล้วจึงเข้าสู่ช่วง
4 ทิ้ง ไม่เหลือเจ้ามือในตลาดแล้ว ราคากลับสู่ปัจจัยพื้นฐาน (ต่ำเหมือนก่อนปั่น) แล้วนิ่งสนิท บางคนอาจเจ็บมากหน่อยที่ช้อนซื้อเฉลี่ยต้นทุนเข้าไปอีก จากข้อมูลมีเหมือนกันว่า เจ้ามือทำกำไรมากกว่าหนึ่งรอบในหุ้นบางตัว ช่วงการสร้างราคาหุ้นแต่ละตัวมีความไม่แน่นอน ตั้งแต่ไม่ถึงสัปดาห์ไปจนถึง 3 เดือน ซึ่ง ไม่มีทางที่เหยื่อจะรู้จังหวะของเจ้ามือล่วงหน้าได้

ผลประโยชน์จากที่ลองคำนวณดูในแต่ละหุ้น มีตั้งแต่หลักหมื่นบาทไปจนถึงหลายสิบล้านบาท ในขณะที่เหยื่อบางรายพึงพอใจกับค่ากับข้าวเพียงไม่กี่พันบาท ส่วนเหยื่อจำนวนมากกว่าติดค้างในราคาที่สูง ขายเมื่อไรขาดทุนเมื่อนั้น ถือไปก็ช้ำใจไม่มีอนาคต

โดยส่วนตัวผมมองว่าหุ้น ABC กำลังสร้างปรากฏการณ์คล้ายหุ้น PTL เมื่อ3  - 4 ปีก่อน ที่มีการสร้าง story ทางธุรกิจใหม่ และกำลังอยู่ในช่วงเจ้ากำลังทำกำไรแล้ว นักลงทุนที่หวังจะทำกำไรในระยะเวลาอันสั้น ต้องคิดทบทวนให้มากก่อนการตัดสินใจลงทุน เพราะเงินลงทนของเราทุกคนไม่ได้หากันมาง่ายๆ ผมรู้จักผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่นำเงินบำเน็จเกษียณมาลงทุนหุ้นลักษณะอย่างนี้เพื่อหวังจะรวยเร็ว แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม ก่อนการตัดสินใจลงทุนหุ้นลักษณะนี้ต้องศึกษาพื้นฐานของบริษัท ลักษณะการทำธุรกิจ งบบัญชีอย่างลึกซื้งก่อน การตัดสินใจลงทุนอย่างรอบครอบ ผมหวังว่านักลงทุนทุกคนจะมีสติก่อนการตัดสินใจลงทุน ทุกครั้งครับ

ข้อมูลประกอบจาก  คุณเสาวนีย์ สุวรรณรงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่วเสริมความรู้ด้านการเงิน ก.ล.ต

วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ถือหุ้นนาน 5 ปีได้อะไรตอบแทน

เมื่อตอนผมเริ่มเล่นหุ้นใหม่ๆเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้วผมเป็นนักศึกษาจบใหม่ที่แทบจะไม่รู้จักหุ้นเลย แต่เคยเห็นผู้ใหญ่รอบตัวเล่นมาบ้าง และก็เจ๊งกันทุกราย เพราะสมัยนั้นคนเล่นหุ้น ก็เล่นหุ้นกันจริง ซื้อเช้าขายบ่าย ซื้อบ่ายขายเช้าอีกวันไม่เคยมีใครคิดจะลงทุนหุ้นแล้วถือไปนานๆ สักคน เมื่อผมเริ่มเล่นหุ้นผมก็ตามแนวผู้ใหญ่รอบตัวผมนี้แหละ แล้วก็เจ็บตัวไปตามๆกัน แต่ยังดีที่เมื่อตอนนั้นผมใช้ internet ซื้อขายได้แล้วจึงเข้าไวออกไว กำไรบ้างเจ๊งบ้างได้บทเรียนการเก็งกำไรรายวันกันไป จนผมเปลี่ยนแนวมาเป็นการลงทุนแบบถือยาวจึงรู้ว่าไม่ต้องเล่นหุ้นแบบซื้อขายบ่อยๆก็รวยได้ ผมมีข้อมูลผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปีจากปัจจุบันมาโชว์ให้ดูว่าซื้อหุ้นดี ปันผลสม่ำเสมอ ถือเอาไว้เฉยๆก็รวยได้







เมื่อดูจากภาพรวมการลงทุนในหุ้น 5 ปีที่ผ่านมา จากสิ้นเดือน มิ.ย. 2552 ถึง มิ.ย. 2557 SET index ขึ้นจาก 597 เป็น 1458 เพิ่มขึ้นประมาณ 150% คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 25% ต่อปี และยังมีปันผลแถมอีกประมาน 3.5% ต่อปี แต่ถ้าเราเลือกหุ้นดีใน SET 50 และลงทุนเป็นรายตัวเราอาจได้ผลตอบแทนสูงสุดถึง 1870% (หุ้น JAS ) อย่างไรก็ตามผมไม่แนะนำให้ลงทุนเงินทั้งหมดในหุ้น 1 ตัว เราควรเลือกหุ้นที่เป็นเบอร์ 1 ในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม แล้วลองถือยาวสัก 5 ปีดู ว่าเราได้ผลตอบแทนเท่าไหร
ตัวอย่างเช่น
กลุ่มสื่อสาร เลือก advanc
กลุ่มธนาคาร เลือก scb
กลุ่มขนส่งเลือก bts
กลุ่มโรงพยาบาลเลือก bgh
กลุ่มพลังงานเลือก ptt
จะพบว่าแต่ละตัวให้ผลกำไรทุกตัว มากบ้างน้อยบาง
advanc กำไร +143% ปันผล 5.52% ต่อปี
scb กำไร +130% ปันผล 3.12% ต่อปี
bts กำไร +177% ปันผล 6.86% ต่อปี
bgh กำไร +636% ปันผล 1.2% ต่อปี
ptt กำไร +36% ปันผล 4.09% ต่อปี

เหตุผลที่ให้เลือกหุ้นเบอร์ 1 ของอุตสากรรมเนื่องจากการเป็นเบอร์สะท้อนถึงการเป็นผู้ชนะ และมีกำไรสูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้นๆ
อย่างไรก็ตามระหว่างระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาราคาหุ้นจะแกว่งขึ้นลง จนเราอาจเสียดายว่าหุ้นที่เคยขึ้นแล้วได้กำไร แต่เราไม่ได้ขายและราคาแกว่งลงจนขาดทุนเสียโอกาสทำกำไร ตรงจุดนี้ขอให้เรามีจิตใจมั่นคง และติดตามผลประการของหุ้นที่เราถือทุกไตรมาส ถ้าหุ้นยังคงกำไรเติบโตผมมั่นใจไว้ในระยะยาว 5 ปี เราจะไม่ขาดทุนค่อนค้างแน่นอนครับ

ฝากทิ้งทายว่าการลงทุนในหุ้นดี ขอให้ถือระยะยาว ฝึกทนรวยไปเรื่อย เราจะพบผลตอบแทนที่น่าอัศจรรย์ไม่ยากเกินเอื้อมครับ

ที่มาข้อมูลราคาหุ้นย้อนหลัง SET Smart

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2557

รวบรวม video สอนการใช้ aspen เพื่อวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค

สมัยนี้ทุกbroker จะให้บริการดูกราฟ technical อย่างน้อย 1 อย่างไม่ aspen for browser หรือไม่ก็ efinance Thai แต่ปัจจุบันผมเห็นว่า aspen for browser ใช้งานได้ง่ายกว่าเนื่องจากใช้งานผ่านweb browser ไม่ว่าจะเป็น IE , Fire fox , chrome จะให้สอนวิธีใช้งานใน blog นี้คงไม่เพียงพอจึงได้รวบรวมวิธีการใช้งานเป็น clip ใน YouTube ตามข้างล่าง เชิญทัษนาตามอัธยาสัย ครับ
1. มาทำความรู้จัก ASPEN4WINDOWS กันก่อน http://youtu.be/rhdqUV7HdTw
3. การใช้งานกราฟ: http://www.youtube.com/watch?v=hvbrB53y33c
4. ดูข้อมูลหุ้นรายตัว: http://www.youtube.com/watch?v=MecO7OF3nAw
5. อ่านข่าว: http://www.youtube.com/watch?v=nAYbG5bgt5I
6. สร้างหน้าเพจให้เหมาะกับตนเอง: http://www.youtube.com/watch?v=Pt33gRRy-lk
7. เพจสำเร็จรูป ใช้แล้วถูกใจ: http://www.youtube.com/watch?v=YU28qdhD8sU
8.  Warrant Analytic Comparison: http://www.youtube.com/watch?v=q75qvuhjuTY
9. คลังความรู้ อับดุลตอบได้ สุดยอดแห่งการหาข้อมูล: http://www.youtube.com/watch?v=GgDtvbyGZSI


เครดิตภาพจาก http://www.fnsyrus.com/


วันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2557

แชร์ประสบการณ์การซื้อ iPad Air มือ1 ถูกกว่าราคาตลาดกว่า 22%


ผมเพิ่งให้รางวัลกับชีวิต หลังช่วงที่หลายบริษัทจ่ายเงินปันผลมาปกติผมจะซื้อ iPad จาก I studio ซึ่งเราจะได้ลองสัมผัสของจริงก่อน และได้คำแนะนำการใช้งานจากพนักงานขาย ( พักหลังมักให้คำแนะนำในการขายประกันเครื่องเสมอ ) แต่สำครับคนที่มีประสบการณ์การใช้งานมาแล้วการลองได้สัมผัสเครื่องจริงก่อนซื้อคงไม่มีความจำเป็นเพราะเราสามารถไปสัมผัสเครื่องจริงก่อนใน shop ทั่วไป ผมจึงสนใจอยากซื้อได้เราคาถูกกว่าใน istudio ถ้าเป็นไปได้

ผมจึงไปเจอเครื่อง iPad Air 32gb wifi ที่ผมต้องการในเว๊บขายของชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งราคาขายลดไป13% แล้ว wow ชอบ 



แต่เดี๋ยวก่อน ในเว๊บนี้มีโปรถ้าซื้อวันจันทร์ด้วยบัตรเครดิตของ MasterCard จะลดเพิ่มอีก 10% ยิ่งกระตุ้นความอยากช๊อป พอดีผมมีบัตรเลยรีบจัดวันนั้นเลย เบ็ดเสร็จจ่ายไป 16101 บาท ลดราคาไป 4300 บาทจากราคาเต็มที่ istudio 20400 บาทสำหรับ iPad Air จากนั้นก็รอเชคสถานะสิ้นค้าจากเว็บ สำหรับสินค้าราคาสูงหน่อยเช่นนี้ สถานะจะอัพเดทช้านิดหน่อยนะครับ เนื่องจากทางเว๊บจะโทรมาตรวจสอบว่าเราได้สั่งสินค้าชิ้นนั้นไปจริงๆหรือไม่ โดยเจ้าหน้าที่ทางการเงินจะโทรมาตรวจสอบภายใน 48 ชั่วโมงแต่ของผมเขาโทรมาตรวจสอบใน 24ชมครับถือว่าทำงานได้เร็ว ผมสั่งสินค้าเมื่อประมาณ 6 โมงเย็นวันจันทร์ ได้สินค้าตอนบ่าย 2 วันพุธ โดยเจ้าหน้าที่ lazada express (LEX) มาส่งให้กับมือ สภาพกล่องบรรจุมีซองกันกระแทกหลายซองใส่มากันสินค้า




ตรวจสภาพกล่องiPad พลาสติกหุ้มตามปกติไม่มีรอยแกะ serial no ของเครื่องตรงกับกล่อง เครื่องเป็นรหัสTH(ไม่โดนแอบส่งเป็นเครื่อง import ตอนซื้อทางเว็บจะแยกไว้ชัดเจนครับว่าเป็นเครื่องศูนย์ หรือเครื่องimport ) และเช็ค  warrantee เริ่มนับจากวันที่สั่งครับไม่ใช่วันที่ได้รับของ (เหมือนกับสั่งกับ apple store เลย) มั่นใจได้ว่าเป็นของใหม่ 100%



 สำหรับคนที่ไม่ค่อยไว้ใจกับการซื่อของทางเนทที่ราคาสูงโดยการสั่งตัดบัตรเครดิต ผมแนะนำว่าให้ซื้อกับรายการที่ทาง lazada เป็นผู้ขายเองจะสบายใจกว่าครับเพราะคนมาส่งจะป็นพนักงานของทาง lazada เลยไว้ใจได้มากกว่าร้านนอกที่จ้าง outsource ( Kerry express ) มาส่งอีกที และถ้าไม่พอใจในสินค้าทาง lazada ใกทำเรื่องคืนใน 14วัน ( แต่ผมยังไม่เคยลอง)

สรุป ซื้อมาได้ลดไป22% ได้เครื่องศูนย์ไทยประกันปกติ1ปี แต่ต้องใช้บัตรดครดิต master card รูดสดผ่อน10เดือนไม่ได้เหมือนistudio ครับ ใครอยากได้iPad Air ราคาพิเศษลองพิจารณาดูนะครับ

*หมายเหตุไม่ได้มีส่วนได้เสียกับ lazada ใดๆ แค่มาแชร์ประสบการณ์เฉยครับ :)

วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ผลงานของ BTSGIF ที่ผ่านมาในรอบ1ปี


หัวใจของเมืองหลวงในการคมนาคมทุกวันนี้คงหนีไม่พ้นรถไฟฟ้า bts ถึงจะเบียดแน่นอย่างไรทุกคนก็จำเป็นต้องใช้เพื่อหลีกหนีปัญญหาการจราจร เมื่อ1ปีที่แล้วบริษัท bts ได้ขาย รายได้ล่วงหน้าของค่าโดยสาร bts 17 ปีเป็นกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน btsgif ซึ่งเป็นกองทุนพื้นฐานกองแรก และใหญ่ที่สุด เรามาดูผลงานของกองทุน 1 ปีที่ผ่านมากัน


พัฒนาการสำคัญในปี 2556/57
 - สถิติจำนวนผู้โดยสารรวมสูงสุดใหม่ 214.7 ล้านเที่ยวคน ในปี 2556/57 เพิ่มขึ้น 8.9% จากปีก่อน
 - สถิติจำนวนผู้โดยสารต่อเที่ยวสูงสุดใหม่ (ในส่วนรถไฟฟ้าสายหลัก) ที่ 884,769 เที่ยว ณ วันที่ 13 มกราคม 2557 ( ถ้าใครจำได้วันนี้เป็นวันเริ่มประกาศ shut down bangkok )
 - อัตราค่าโดยสารเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 6.5% จากปีก่อน เป็น 26.4 บาทต่อเที่ยว และมีแนวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
 - รถไฟฟ้าบีทีเอสส่วนต่อขยายสายสีลม จากสถานีวงเวียนใหญ่ถึงสถานีบางหว้า เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 5 ธันวาคม 2556 บ้านผมอยู่ใกล้สถานีบางหว้าและขึ้นบ่อยๆที่นั่งเต็มตั้งแต่สถานีนี้แล้วครับ



สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุนสำหรับปี 2556/2557 (17 เมษายน 2556 – 31 มีนาคม 2557) กองทุนมีรายได้รวม
3,808.58 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายรวม 455.57 ล้านบาท และมีรายได้จากการลงทุนสุทธิ 3,353.01 ล้านบาท โดยกองทุนได้ประกาศจ่าย เงินปันผลจำนวน 4 ครั้ง รวมทั้งสิ้นในอัตรา 0.579 บาทต่อหน่วย คิดเป็นจำนวนทั้งสิ้น 3,351.25 ล้านบาท ทั้งนี้ กองทุนมีค่าใช้จ่ายในการออกและเสนอขายหน่วยลงทุนตัดจำหน่าย จำนวนทั้งสิ้น 353.81 ล้านบาท หรือคิดเป็นจำนวน 0.061 บาทต่อหน่วย ( ถ้าคิด yield ที่ราคา ipo 10.8 จะได้ 5.64% ) ซึ่งบริษัทจัดการจะนำไปจ่ายคืนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในรูปการลดทุนต่อไป กองทุนมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2557 เท่ากับ 65,104.51 ล้านบาท หรือคิดเป็น 11.2481 บาทต่อหน่วย โดยในปี 2556/2557 กองทุนมีการปรับมูลค่าเงินลงทุนในสัญญาซื้อและโอนรายได้สุทธิเพิ่มขึ้นให้เป็นไปตามมูลค่ายุติธรรม จำนวน 1,701.00 ล้านบาท

ที่น่าสนใจมากคือมูลค่าทางบัญชีใหม่ถูกปรับเป็น 11.2481 จากราคา ipo 10.8 แต่ณ ขณะนี้ราคาตลาดอยู่แค่ 10.3 บาท มี margin of safety พอสมควรอาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับยุคดอกเบี้ยเงินฝากประจำถูกช่วงนี่ครับ

อ้างอิงผลประกอบการจากรายงานประจำปี 17เม.ย. 56 - 31 มี.ค. 57

วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ทำกำไรเพิ่มสำหรับนักลงทุนระยาว หรือยามติดหุ้นด้วย SBL กัน

ถ้าคุณเป็นคนที่ลงทุนหุ้นระยะยาว หรือติดหุ้นแต่ไม่อยาก cut loss การทำธุรรรม SBL อาจเป็นทางเลือกในการทำกำไรเพิ่มของคุณ
SBL ย่อมาจาก  (Stock Borrowing & Lending )  เป็นการเสนอให้ยืม และการขอยืมหุ้น สำหรับรายย่อยอย่างเราควรทำการเสนอให้ยืมหุ้นเท่านั้นเนื่องจากการขอยืมหุ้นนั้นต้องมีเงินมาก และยังต้องจ่ายดอกอีก ผมจะขอเสนอการให้ยืมหุ้นเท่านั้นครับ


SBL


หลายคนอาจจะงงว่าการให้ยืมหุ้นทำกันได้ด้วยเหรอ ไม่เคยได้ยินเลย เคยทำแค่ซื้อกับขายเราจะให้ใครยืม? ใครจะมาขอยืมเรา ? เชื่อใจได้หรือเปล่าคนที่มายืมเราจะมีหุ้นคืน ? เราจะได้อะไรตอบแทนจากการให้ยืมหุ้น? สงสัยๆ เรามาดูกัน

สมมติเรามีหุ้นใน port ที่อยากเก็บไว้นานๆ เพื่อลงทุนระยะยาว หรืออาจติดหุ้น เราคงไม่อยากทิ้งหุ้นไว้เฉยๆไม่ได้อะไรเลยนอกจากเงินปันผล แต่บางหุ้นอาจจะไม่ได้อะไรเลยเพราะบางหุ้นไม่มีปันผลให้เลยเสียด้วย เราสามารถเสนอหุ้นเหล่านี้ให้คนอื่นยืมได้ครับ โดยให้เสนอให้ยืมผ่านตัวกลางก็คือ broker ของเรา ก่อนอื่นให้ติดต่อ marketing ของเราเพื่อขอทำสัญญา SBL เอกสารค่อนข้างมีให้เซ็นเยอะในเอกสารมีส่วนสำคัญให้เลือก  
1.ให้ยืมหุ้นทุกตัวใน port หรือเปล่า 
2.ให้ยืมหุ้นได้บางตัว ตัวไหนบ้าง และให้ยืมกี่หุ้นหรือให้ยืมมากสุดกี่%จากที่มีอยู่ 
ผมขอแนะนำว่าให้เลือกสามารถยืมหุ้นได้ทุกตัวครับ เนื่องจากเราจะได้มีโอกาสให้คนขอยืมหุ้นเลือกหุ้นที่เขาต้องการได้มากขึ้น และเราจะได้โอกาสในการถูกยืมหุ้นมากขึ้นด้วย เมื่อสัญญาได้รับอนุมัติเรียบร้อยหุ้นเราจะถูกเสนอขึ้นกระดานให้ยืมหุ้นทุกวันครับ

ต่อไปทุกวันเราก็มาลุ้นกันว่าหุ้นเราตัวไหนจะถูกยืมบ้าง ถ้าถูกยืมจะมีตัว (r) หลังชื่อหุ้นที่ถูกยืมครับ


ผลตอบแทนที่ได้ปัจจุบันอยู่ที่ 3.5% ต่อปี มากกว่าฝากประจำ12 เดือนอีก ดอกเบี้ยที่ได้ต่อวันจะคิดจาก 

ราคาหุ้นที่ถูกยืม(ในขณะที่ยืม) x จำนวนหุ้น x 0.035 / 365

เช่น มี ck 10000 หุ้น ถูกยืมไปที่เรา 25 บาท เราจะได้ดอกเบี้ยต่อวัน
25 x 10000 x 0.035 / 365 = 23.97 บาท
เมื่อเราได้หุ้นคืนbroker ก็จะนับวันที่ถูกยืมไป( รวมเสาร์ อาทิตย์) ให้เราครับ เช่น ยืมไป 60 วัน
เราจะได้ดอกเบี้ย 23.97 x 60 = 1438 บาท
ลองคิดคราวนะครับ ck ให้ปันผลปีละ3% + กับดอกเบี้ยจากการให้ยืมหุ้น 3.5% เราอาจได้ return จาก ck ต่อปีถึง 6.5% เลยทีเดียว

จะมีคำถามว่าอ้าวหุ้นเราโดนยืมไปแล้วถ้าจะได้สิทธิรับเงินปันผล(XD) แล้วเราจะได้หรือเปล่า ตอบว่าได้ตามปกติครับเพราะเมื่อก่อนวันขึ้น XD ทาง broker จะหาหุ้นมาคืนเราจนได้หายห่วงครับเรื่องนี่
เหมือนจะมีแต่ข้อดีแล้วข้อเสียละ มีครับแค่ระหว่างที่หุ้นถูกยืม มี (r) เราจะขายหุ้นตัวนั้นไม่ได้ในตอนนั้นแต่ถ้าจำเป็นต้องขายเพื่อใช้เงินจริงๆก็โทรไปบอก marketing ช่วยหาหุ้นมาคืนให้หน่อย เราก็จะได้หุ้นคืนครับ

นักลงทุนระยะยาว หรือคนติดหุ้นสามารถใช้ประโยชย์จาก SBL เพิ่มผลตอบแทนได้ถึง 3.5% ต่อปีลองสมัครใช้ดูกันนะครับ

เครดิตรูปภาพจาก http://www.poems.in.th/

วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

วิเคราะห์หุ้น intuch ทำไมช่วงนี้ราคาลงฮวบ

จากที่มีประสบการณ์ถือหุ้น INTUCH มาหลายปีผมเคยเห็นราคาหุ้นตัวนี่ลง ฮวบๆอย่างนี้มา3 ครั้ง ทุกครั่งจะมีข่าวร้ายเข้ามา แต่แกนหลักสำคัญที่ทำให้ลงคือ การลดสัดส่วนการลงทุน ของกองทุน Temasek

เมื่อมีข่าว Temasek ลดการลงทุนในเอเชีย ฉุดให้ ADVANC ลงและฉุดทั้งตลาดลงนั้น ในช่วงที่ผ่านมา Temasek ลดการถือหุ้นใน INTUCH (ถือ ADVANC 40.45%) มาโดยตลอดโดยอ้างว่าต้องการเพิ่มสภาพคล่องของหุ้น จนปัจจุบันถือใน INTUCH 41.6% (ถือผ่าน Aspen) และถือใน ADVANC 23.3% (ถือผ่าน SingTel)

ถ้า Temasek ต้องการขาย INTUCH และ ADVANC จริง ไม่น่ากระทบกับการบริหารงานใน ADVANC แม้ว่าจะมีกรรมการ 3 ใน 11 ท่านที่มาจากสิงคโปร์ แต่ก็เป็น Passive management การบริหารงานส่วนใหญ่และงานสำคัญยังอยู่กับผู้บริหารชาวไทย ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญอยู่ที่ ถ้าขาย จะขายให้ใคร

ถ้าเป็นการขายให้สถาบันในประเทศ ADVANC ก็จะได้เพียง Financial partner (ซึ่งไม่จำเป็น) และอาจดูด้อยลงไปเมื่อเทียบกับ DTAC และ TRUE ที่มี partner ต่างชาติแล้ว และในอนาคต ADVANC ก็อาจเจอข่าวต่างชาติจ้องซื้อ เป็นระยะ 
แต่ถ้าขายให้กับต่างชาติรายอื่นที่เป็น Telecom operator ก็อาจเป็นข่าวดีก็ได้ ขึ้นอยู่กับราคาขาย !!!

ช่วงต้นปีที่มีข่าวลักษณะนี้ INTUCH และ ADVANC ร่วงประมาณ 9-10% กินเวลา 5-6 วัน
ตามความคิดของผม bottom ของ รอบนี้น่าจะไม่เกิน 66 ซึ่ง INTUCH ปีนี้ปันผลน่าจะประมาณ 4.5 บาท คิดเป็น yield 6.8% เลยที่เดียว ใครมีเงินเย็น กำลังสนใจลงทุนกับหุ้นกู้ อาจจะเลี้ยวมอง INTUCH บ้างซึ่งให้ yield งดงามเลยทีเดียว


เครดิตภาพประกอบจาก http://www.stock2morrow.com