วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2558

อนาคตหุ้นมือถือ


ไม่น่าเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อแล้วว่า ยิ่งระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ ก้าวสู่ความทันสมัยในระบบ 4 จี แต่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อหลักทรัพย์ของบริษัทผู้ประกอบการมือถือทั้งหลาย กลับคลอนแคลนลงเป็นอันมาก

มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรก็ไม่รู้ เพราะตอนช่วงพัฒนาการจาก 2 จี มาเป็น 3 จี ความเชื่อมั่นต่อหุ้นมือถือมีสูงมาก 3 จี นั่นแหละคือจุดขายเชียว

ราคาหุ้นของบริษัทผู้ประกอบการมือถือตั้งแต่ต้นปี 58 มาถึงปัจจุบัน ต่ำเตี้ยเรี่ยดินลงเป็นอันมาก

ค่ายมือถือADVANC ราคาปรับลง 20% พี/อีขณะนี้อยู่ที่ 15 เท่า

TRUE ซึ่งน่าจะแข็งแรงจากการเพิ่มทุนของไชน่า โมบายล์ และมีอนาคตกับธุรกิจโทรมือถือมากที่สุด เพราะไม่ต้องไปกินน้ำใต้ศอกใครแล้ว ราคาก็ลดลงมา 26% พี/อีอยู่ที่ 33 เท่า

DTAC ผู้พ่ายแพ้การประมูลรอบคลื่นความถี่ 1800MHz และก็ยังไม่รู้ว่ารอบประมูลใหม่ที่คลื่น 900MHz จะเข้าสู้สุดตัวหรือเปล่าเนี่ย ราคาปรับตัวลงมามากที่สุดถึง 52% เลยทีเดียว พี/อีปัจจุบันอยู่ที่ 15 เท่า

นอกจากนั้น JAS หรือจัสมิน ซึ่งทำธุรกิจบรอดแบนด์ อินเทอร์เน็ตอยู่ดีๆ แต่พอประกาศตัวเข้าสู้ประมูลเท่านั้นแหละ ราคาก็ร่วงกราวจนบัดนี้ลงมาถึง 35%

พี/อีแสนจะต่ำมาก แค่ 2 เท่าเศษเท่านั้นเอง

นี่ถ้าเกิด JAS ประมูลได้คลื่น 900 ราคามิถล่มทลายไปมากกว่านี้หรือ

น่าคิดมาก สำหรับ JAS ซึ่งกูรูด้านโทรคมนาคมหลายท่านอย่างอาจารย์บวร ปภัสราทร ท่านบอกว่า JAS นี่แหละคือตัวจริงเสียงจริงของ 4 จี เลย

เพราะการวางโครงข่ายบรอดแบนด์ใช้กับอินเทอร์เน็ตทั่วประเทศในเวลานี้ ก็เหมือนกับสร้างถนนเผื่อไว้แล้ว โทรเคลื่อนที่ 4 จี เปรียบได้กับรถอีกขบวนหนึ่ง จึงสามารถจะวิ่ง 2 ขบวนไปด้วยกันได้เลย

แต่นักลงทุนหาได้มองจุดนี้ไม่

สิ่งที่นักลงทุนมองหุ้นมือถือในแง่ลบมากที่สุดก็คือ ราคาประมูลแพงไปมาก

ADVANC ได้คลื่นความถี่ชุดที่ 2 ไปในราคา 40,986 ล้านบาท และ TRUE ได้คลื่นความถี่ชุดที่ 1 ไปในราคา 39,792 ล้านบาท

ประมูลใหม่ รอบชิงคลื่น 900MHz ในวันที่ 15 ธ.ค.ที่จะถึงนี้ ราคาประมูลก็คงไม่มีวันต่ำกว่ารอบที่แล้วแน่ และก็มีแนวโน้มจะสูงกว่าด้วยซ้ำ

เพราะหากใครพลาดรอบนี้ไป ก็ต้องไปรอประมูลใหม่ในปี 2561 ซึ่งคลื่น 1800 ของDTAC จะหมดอายุลง ซึ่งอนาคตตอนนั้นไม่แน่ไม่นอนสูง

ใครที่ไม่มีคลื่น 4 จี ไว้ในครอบครองเลยสักใบ หากจะคิดไปเข้าตลาดตอนนั้น ก็ต้องกลายเป็นมวยรองบ่อน ไปโกยลูกค้าหลังเพื่อนเขาทำตลาดไปล่วงหน้าก่อนแล้ว

อันที่จริงใบอนุญาต 4 จี รอบแรกที่ผ่านไป เฉลี่ยใบละ 4 หมื่นล้านบาท ก็ไม่ได้เป็นต้นทุนที่แพงอะไรมาก เมื่อเปรียบเทียบกับต้นทุนอันเป็นค่าต๋งในระบบสัมปทาน

เมื่อก่อนนี้ ค่ายดีแทค-แอดว๊านซ์ จ่ายค่าสัมปทานตลอดอายุสัมปทานช่วง 20-25 ปี เป็นมูลค่าเจ้าละประมาณ 2 แสนล้านบาท

คลี่ออกเป็นรายปีก็ตกเฉลี่ยปีละ 8,000-10,000 ล้านบาท ก็ยังสามารถทำกำไรมหาศาลในเวลาอันรวดเร็วยิ่งกว่าธุรกิจเก่าๆ เป็นไหนๆ           

แต่ระบบใบอนุญาตที่เพิ่งผ่านกันไป จ่ายกันตกเฉลี่ย 4 หมื่นล้านบาทเท่านั้น ในอายุใบอนุญาต 18 ปี

ลองคลี่ออกมาเป็นรายปี ต้นทุนใบอนุญาตก็จะตกราว 2,200 ล้านบาทเท่านั้น

มันถูกกว่า 8 พันล้านบาท หรือ 1 หมื่นล้านบาทในระบบสัมปทานเดิมเป็นไหนๆ ในขณะที่ช่องทางทำมาหากินของโทร 4 จี มันหากินได้คล่องกว่าระบบ 2 จี หรือ 3 จี เดิมแน่นอน

นอกจากนั้น ในยุคปัจจุบัน ผู้ประกอบการสามารถจะนำทรัพย์สินโครงข่ายมาตั้งกองทุนอินฟราสตรักเจอร์ ฟันด์ได้

อันจะช่วยลดภาระต้นทุนการเงินได้มหาศาล

สรุปแล้ว ผมว่านักลงทุนเรา ตลอดจนนักวิเคราะห์ทั้งหลาย น่าจะมองหุ้นมือถือหรือหุ้นสื่อสารในแง่ลบมากเกินความจริงไปสักหน่อยนะ

ขอช่วยทบทวนหุ้นมือถือบนพื้นฐานความจริงอีกสักทีเถอะ

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558

การเทรดหุ้น IPO


หุ้น IPO ที่เพิ่งเข้าตลาดวันแรก จะยังไม่มีกราฟให้ดูอะไรทั้งสิ้น
การเล่นนั้นแสนจะเรียบง่ายดังนี้

1. เปิดตลาดมาแล้ว ยืนเหนือราคาเปิดได้ค่อยซื้อ  ถ้าร่วงหลุดราคาเปิดอย่ายุ่ง

2. ซื้อแล้วต้องยืนเหนือราคาเฉลี่ยระหว่างวัน Average Price  ถ้าหลุดราคาเฉลี่ย ขายทันที

3. ถ้าราคายืนเหนือราคาเฉลี่ยได้ แต่พอตอนบ่ายเริ่มนิ่งๆ นานถึง 15:30 น ขายทันที เพราะจะร่วง

4. ถ้าราคาขึ้นไปถึงจุดสูงสุด แล้วย่อลงมา แล้วขึ้นไปที่จุดนั้นอีก 2 ครั้งแล้วย่ออีก ( Tripple Top แล้วไม่ผ่าน ) ทิ้งทันที เพราะจะร่วง

5. ถ้าไม่หลุดกฎข้างบนเลย ให้อมเก็บข้ามวันได้ แล้ววันต่อมาเริ่มใช้กฎ 70% Profit Protection ร่วมกับ Trailing Stop loss ครับ

Trailing stop loss 
http://www.youtube.com/watch?v=K0DRHmNKYpM&sns=em

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2558

Clip สอนพื้นฐาน เทคนิคัล ... ว่างๆ ลองดู สั้นๆ 10-15 นาที เข้าใจง่าย

Clip สอนพื้นฐาน เทคนิคัล ... ว่างๆ ลองดู สั้นๆ 10-15 นาที เข้าใจง่าย
5 ตอน !!!!
Technical Analysis พิชิตจังหวะลงทุน ตอนที่ 1 สร้างความมั่งคั่ง ด้วยความลับของการจับจังหวะลงทุน https://www.youtube.com/watch?v=CiPGzDtJEDU
Technical Analysis พิชิตจังหวะลงทุน ตอนที่ 2 ราคาเป้าหมาย ค้นหาได้ด้วย Trend Line https://www.youtube.com/watch?v=IHr3pNwnymI
Technical Analysis พิชิตจังหวะลงทุน ตอนที่ 3 ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ลงทุนด้วย Price Pattern https://www.youtube.com/watch?v=qaex_VBbjmE
Technical Analysis พิชิตจังหวะลงทุน ตอนที่ 4 จับจังหวะซื้อขายด้วย MACD https://www.youtube.com/watch?v=IBZ6y_ZPvOo
Technical Analysis พิชิตจังหวะลงทุน ตอนที่ 5 ซื้อมากเกิน ขายมากไป วิเคราะห์ได้ด้วย RSI https://www.youtube.com/watch?v=RLUihBD6JM8#t=20
สูตรในการเล่นหุ้นซิลลิ่ง(ผลรับรอง~50%)
-เปิดตลาดเช้าดูticker เลือกตัวที่เห็นบ่อยๆมา5ตัว
-EfinกดF6สแกนหุ้น ใส่ชื่อหุ้นมันจะบอก%CMPR
เปลี่ยนวิธี(วิธีนี้ได้ผล 80 เปอร์เซ็นต์)
-ตื่นมา 10.00 เปิดหน้า ticker คู่กับหน้า scan F6 นั่งจดหุ้นที่วิ่งเยอะ ๆ จนถีง 11 โมง แล้วเอามาเปรียบเทียบกับ F6 ว่ามีตัวไหนตรงกันบ้าง ดูตัวที่เปอร์เซ็น CMPR เยอะๆ เกิน 500 ยิ่งดี
-เก็บหุ้นไว้ในwatch list เราก็คอยตามดู%ในportfolioได้
(*CMPR = Compare Average Volume 5 วัน คือ %vol เทียบกับ เมื่อเทียบกับ 5 วันที่ผ่านมา เป็นการสะสมวอลุ่มที่มากขึ้นเรื่อยๆครับ หากสูงแสดงว่าเล่นกันเยอะในวันนั้น เช่น 500% คือ 5 เท่าของค่าเฉลี่ย 5 วัน)
-ควรเล่นในกลุ่มที่กำลังขึ้น และราคายังไปต่อได้ ฉะนั้นควรเล่นในช่วงตลาดขาขึ้น
-พวกที่จะซิลลิ่งได้ จะมีโวลุ่มไม่มาก และไม่ใช่หุ้นมหาชน(เพราะเจ้าลากไปซิลลิ่งไม่ไหว) ส่วนใหญ่ เป็นหุ้นตัวเล็กๆ
สรุปคือ พอมาดู พอร์ตโฟลิโอแล้ว เจอหุ้นที่วิ่งมาสัก 15 เปอร์เซ็นต์ เข้าเลย เข้าแล้วไม่ต้องตกใจ บางทีมันไหลลงมา 2-3 ช่อง ลงเร็ว เดี๋ยววิ่งต่อ เข้า15% แล้ว21%มักขายครึ่วนึงก่อน
-*วิธีเล่น คือ ทยอยขาย*
-watch list 5ตัว แต่เล่นจริงๆ2-3ตัวก็พอ
-ก่อนหน้าจะเล่น ดูแนวรับแนวต้านเก่าด้วยก็จะยิ่งดี ควรดูกราฟไว้ตั้งแต่คืนก่อนเปิดตลาด หาข่าวinside
-จุดสำคัญคือ ต้องคัทให้ทัน ภายใน 2-3 ช่อง โดยตั้งMP(market price)เลย
-ยกตย. อย่างหุ้น กลุ่มเนชัน(nmg nine nbc) วันศุกร์ม้นวิ่งไปสองตัว เชื่อมั้ยว่า วันอังคาร ตัวที่เหลือ ต้องมา
-สรุป**
กฏข้อแรก ดู ticker
กฏข้อสอง เล่นตอน 11 โมง
กฏข้อสาม เลือกหุ้นที่ได้เปอร์เซ็นต์จะซิลลิ่ง
กฏข้อที่สี่ ขายตรงซิลลิ่งให้ได้
(ช่วงเช้าๆบางที ที่โวลุ่มเข้า จะเป็นการซื้อหรือขายออก มันจะเหวี่ยงแรงๆ %CMPR อาจจะไม่ชัดเจน แต่พอ 11 โมง จะมีหุ้นตัวเด่นๆเริ่มฉายแววออกมา ช่วงบ่ายให้เข้าหุ้นที่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์ไปแล้ว
+รวยหุ้นด้วยกราฟ++
http://issuu.com/pairoj/docs/_______________-issuu
++คู่มือการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดย สุรชัย ไชยรังสินันท์http://inv4.asiaplus.co.th/cms/index2.php…
01. เทคนิคการอ่านแนวโน้มหุ้น ด้วยกราฟเทคนิคคอลเพื่อหาสัญญาณจุดซื้อ-จุดขาย และการติดตามแนวโน้มหุ้น
https://www.facebook.com/video.php?v=729833050430067&set=vb.100002101358163&type=2&theater
02. สอนการตั้งค่าเส้นเฉลี่ย Ema. / เทคนิคหาจุดซื้อจุดขายรูปแบบต่างๆema.5/10/20 days & ema.50 days
https://www.facebook.com/video.php?v=730583087021730&set=vb.100002101358163&type=2&theater
03. แนะนำการใช้โปรแกรม eFin. Smart Portalสำหรับเทรดหุ้น หาจังหวะเข้าซื้อขายทำกำไรด้วยกราฟ Week / ชุดเส้นค่าเฉลี่ย SMA. / การวัดระดับ Fibonacci 
https://www.facebook.com/video.php?v=736172266462812&set=vb.100002101358163&type=2&theater
=>จิตวิทยาการลงทุน
https://www.youtube.com/playlist?list=PL82F34B18B3D7B966
คุณลุงโฉลก สอน Fibonacci & Elliott Wave
จบจากคลิปนี้ คุณจะเจอหลายๆคลิปต่อเนื่อง เช่น Swing Trading และ Position Trading ที่บรรยายจากลุง น่าสนใจไม่แพ้กัน
คนเก่งจริงมักจะพูดอะไรง่ายๆ ใช้ภาษาง่ายๆ เข้าใจง่าย
ดูเพื่อใช้เป็นแรงบันดาลใจ เพื่อศึกษาเพิ่มเติมครับ
https://www.youtube.com/watch?v=YYIaCcRWn7o
กลยุทธ์การเล่นหุ้น ในช่วงเวลาที่ดีและเลวร้ายของคุณ: http://youtu.be/vzd52PJy58s
ลองฟังคลิปนี้ดูนะครับ เพื่อน ๆ การลงทุนที่ดีที่สุดของมนุษยเงินเดือน
ตอนที่1 http://youtu.be/kfK0PTe-kGk
ตอนที่ 2 http://youtu.be/SlPBDPtXhOI
ตอนที่ 3 http://youtu.be/VcG1ea7dhUI
ตอนที่ 4 http://youtu.be/VuMZcYCL1DY
ตอนละ 15 นาทีเอง ดูหลายๆรอบ เห็นด้วยก็ทำตาม ไม่เห็นด้วยก็ลืมๆ มันไปซะ (big smile) เป็นทางเลือกหนึ่งในการลงทุน แต่ต้องเข้ากับจริตเราด้วย
Elliott Wave คลื่นแห่งโอกาสและเพื่อนผู้เตือนเรา(พื้นฐาน)
สวัสดีครับกลับมาเจอกันอีกครั้ง ในบทความนี้จะพูดถึงการอ่านคลื่นมหัศจรรย์ที่สามารถบอกจังหวะและเตือนเราว่าช่วงนี้ช่วงนั้นตลาดหรือหุ้นที่เราสนใจหรือถืออยู่ควรถือต่อหรือควรออกหรือควรเข้าหรือไม่
และเคยรู้สึกไหมว่ารูปแบบต่างๆที่เกิดขึ้นเป็นคลื่นวนเวียนกลับไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า(สำหรับผู้ที่สังเกตุ) และเคยได้ยินไหมครับว่าประวัติศาตร์ซ้ำรอย(History Repeat Itself) ถึงแม้ว่าจะไม่ถูกต้อง 100% แต่เราสามารถใช้ทำนายอนาคตได้เช่นกัน และเหตุผลที่เกิดก็เพราะจิตวิทยาการ ซื้อ-ขาย เพราะเราซื้อขายจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกันถึงแม้ว่า ณ ปัจจุบันจะเริ่มมีการนำ Robot มาใช้ในการ Trade แต่ยังเป็นส่วนน้อยอยู่
ดังนั้นพื้นฐานของ Elliott Wave จะมีความสำคัญและช่วยเราได้และจะมี 5 คลื่น 1 2 3 4 5 และ 3 คลื่น A,B,C
5 คลื่น 1 2 3 4 5 คือ Motive Phase
Wave 1 คือคลื่นที่เริ่มต้นมาจากการ breakout downtrend หรือ sideway เป็นการเริ่มต้นของคลื่นรอบใหม่ โดยปกติทาง Chartychology Trader จะไม่เข้าที่ wave นี้เพราะการที่ทำ breakout downtrend หรือ sideway ขึ้นมาได้เกิดจาก 3 ส่วนคือ
1.Accumulated Trader คือนักลงทุนระยะยาว(VI)
2.Position Trader หรือ Momentum Trader คือ นักลงทุนเก็งกำไรที่ทำให้มีแรง...ดันราคาขึ้นไปได้
3.Novice Trader คือ นักลงทุนมือใหม่หรือที่เขาเรียกว่าแมงเมา เอ้ย!!!! แมงเม่าครับ Novice Trader นี้จะซื้อขายตามอารมณ์ ตามข่าว ตามกระแส ฯลฯ
เพราะเมื่อไรที่ Novice Trader เข้าซื้อจนถึงจุดอิ่มตัวของช่วงนึงแล้ว Momentum Trader จะขายทำกำไรออกมาทำให้ราคาย่อตัวและทำให้ Novice Trader บางส่วนขายตาม
Wave 2 คือคลื่นที่ย่อลงมาจากคลื่นลูกแรกเพราะเกิดจากขายทำกำไรจากที่กล่าวมาข้างต้นและต่อจากนี้ไปจะเป็นเวลาของ Chartychology หรือ Swing Trader เข้าซื้อที่คลื่นนี้หรือที่เรียกคลื่นนี้ว่า First Pullback แต่การเข้าซื้อจะต้องดู Price Pattern ก่อนและต้องประกอบด้วย Support Area(สำหร้บ Long Position)
บทความเรื่อง Price Action ตาม link เพื่อทบทวน ตอน 1 2 3 4 5 6
Wave 3 คือคลื่นที่ยาวที่สุดและแข็งแรงที่สุดในบันดา 5 คลื่น คลื่นนี้จะเป็นที่น่าสนใจสำหรับทุก Traders และทาง Chartychology จะเกาะหรือขี่ไปกับคลื่นนี้ไปจนจบคลื่นเพราะจะเป็นช่วงที่จะทำกำไรได้ค่อนข้างมาก StockMoneyGear รัก Wave 3!!!
Wave 4 คือคลื่นที่จะใกล้จบรอบของ Elliott Wave เป็นคลื่นที่ย่อลงมาจากคลื่นลูกที่ 3 เหตุผลโดยส่วนมาก(ในกรณีไม่มี bias จากภายนอกเช่น ข่าวร้าย นักลงทุน panic ฯลฯ)จากการที่นักลงทุนบางกลุ่มเข้าซื้อในช่วงปลายคลื่นลูกที่ 3 เลยขายทำกำไรออกมาก่อนเพราะรู้ว่าราคาใกล้จะจบรอบแล้ว
Wave 5 คือคลื่นลูกสุดท้ายคือการวิ่งขึ้นก่อนที่จะลงไปเป็นคลื่น A ถามว่าสามารถเข้าเก็งกำไรในคลื่นลูกได้ไหม ตอบว่าได้แต่จะต้องระวังตัวมากกว่าทุกๆคลื่น
3 คลื่น A B C คือ Corrective Phase
Wave A คือคลื่นที่ย่อจากคลื่นลูกที่ 5 ซึ่งจะจุดเริ่มต้นที่จะก่อเกิด downtrend
Wave B คือคลื่นที่เกิดการ rebound แต่จะไม่ทำ new high ที่คลื่นลูกที่ 5 ถ้าเกิดแบบนี้ให้เห็น ต้องระวังให้มากๆนะ เขากำลังเตือนท่านอยู่และเขาก็รักท่านนะไม่อยากให้ล้มเหลวหรือขาดทุน
Wave C คือคลื่นที่ยืนยันการเป็นขาลงหรือจบรอบ Elliott Wave อย่างสมบูรณ์ในช่วงนั้นๆ พอถึงคลื่นนี้ให้เฝ้าดูและรออย่างอดทนเพื่อหาโอกาสในครั้งต่อไปคร้าบบบบ
ตัวอย่างคร้าบ
สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นเป็นพื้นฐานของเรื่อง Elliott Wave ง่ายแต่ทรงพลังมากๆนะครับ ถ้าเป็นทษฎี Elliott Wave ขั้น Advance จริงๆนั้นมีรายละเอียดมากกว่านี้ ถ้ามีความสนใจสามารถค้นหาอ่านตาม Internet ได้มากมายเพื่อต่อยอดจากบทความนี้
สรุปสิ่งที่กล่าวมา คลื่นที่ทำให้เราประสบความสำเร็จมากที่สุดคือ Wave 3 ส่วนคลื่นที่หวังดีกับเรามากที่สุดคือ Wave B ส่วนคลื่นที่น่ากลัวที่สุดคือ Wave C
คำถามคือ...คุณจะเลือกข้างไหน?
ยิ่งอ่าน ยิ่งเก่ง 
ยิ่งฝึก ยิ่งเก่ง 
ยิ่งเมตตา ยิ่งเป็นที่รัก 
ยิ่งสร้าง ยิ่งรู้จัก 
ยิ่งให้ ยิ่งได้
by StockMoneyGear

วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2558

NPARK - ตั้งต้นชีวิตใหม่ ?



ถ้าถามว่าหุ้น NPARK ไม่เหมาะกับคนที่คิดจะเล่นสั้นๆเก็งกำไรหรอกหรือ?? 
คือถ้าอยากจะมานั่งต่อคิว ATC กินวันละช่อง ถ้าคิดว่าทำได้และเร็วพอก็เอาเถอะ ! 
แต่ถ้าเบื่อกับชีวิตแบบนั้น ก็บอกได้แต่ว่า หุ้นตัวนี้จะไปได้ตอนไหน " มันไม่มีใครรู้ไง " รู้แต่ว่ามีข่าวเกี่ยวกับอะไรใหม่ๆ ? แต่สุดท้ายแล้วผลตอบแทนจะได้เมื่อไหร่ต้องรอกันเอาเองนะ....

มาดูว่ามันมีข่าวอะไรมาอัพเดทบ้าง ?

เรื่องราวครั้งเก่าก่อนว่าบริษัทผ่านร้อนผ่านหนาว และผ่านการเพิ่มทุนมามากครั้งขนาดไหนคงไม่ต้องเล่าแล้วนะ เพราะมันบ่อยมากเสียจน NPARK กลายเป็นหุ้นที่มีจำนวนหุ้นจดทะเบียนมากที่สุดในตลาดไทยไปแล้ว !

คราวนี้ NPARK สร้างเซอไพรส์ให้กับนักลงทุนด้วยการประกาศ swap หุ้นของตนกับที่ดินของ BTS ทำให้หากดีลนี้ผ่านมติผู้ถือหุ้น BTS จะเข้ามาถือหุ้น NPARK ระหว่าง 33-37%
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกงง ว่า ทำไมถึงถือแค่นี้ เพราะมันดูน้อยเกินไป ไม่สามารถควบคุมการบริหารได้ ตอนนั้นคนก็มองกันแค่ว่ามันมีการออก วอแรนท์ให้กับ BTS ด้วย 
ดังนั้นอาจเป็นไปได้ว่า BTS อาจรอให้แน่ชัดว่าการเข้ามาทำธุรกิจผ่าน NPARK จะไปรอดหรือไม่ ถ้าไปได้สวยก็ใช้สิทธิวอแรนท์ของตนเพื่อถือหุ้นเพิ่มขึ้น

แต่ก้อรู้สึกแปลกๆตั้งแต่ตอนนั้นแล้วนะ และเชื่อว่า BTS ไม่มีทางถือแค่นี้แน่นอน มีหลายต่อหลายครั้งที่เจ้าของ BTS จะเข้าซื้อหุ้นตัวที่ตัวเองสนใจควบคู่ไปด้วยเสมอ 
และประเด็นนี้ก็เกิดความกระจ่างขึ้นมาเพราะเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา มีการทำ big lot หุ้น NPARK-F เป็นจำนวนมาก คิดเป็นเปอร์เซนต์สูงถึงกว่า 15% ของทุนจดทะเบียน

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครซื้อ คงไม่มีใครคิดจะเข้ามาซื้อ NPARK แข่งกับ BTS อยู่แล้ว 
ฉะนั้นผู้ซื้อก็คงต้องเป็นบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับ BTS แต่เชื่อว่าน่าจะใช้ชื่อเป็น nominee มากกว่า น่าจะเป็นการตั้งเป็นกองทุนส่วนบุคคลที่ต่างประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกัน

แต่ท้ายที่สุด มันแทบจะชัวร์ว่าการโยน big lot ก้อนโตดังกล่าว คงเป็นการซื้อของกลุ่มเกี่ยวข้องกับ BTS เพื่อให้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการบริหารงาน NPARK นับจากนี้
เจ้าของ BTS บอกเสมอว่า เขาชอบการทำธุรกิจอสังหาแบบเก็บกินระยะยาวมากกว่าการทำแบบฉาบฉวย ด้วยเหตุนี้ การเข้าซื้อ NPARK นั้นอาจจะไม่ได้แค่คิดซื้อมาเล่นๆ โดยมีความต้องการให้ NPARK กลายมาเป็นแขนขาหลักในการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า และโรงแรม ของ BTS นับจากนี้เป็นต้นไป

แค่นี้ก็คงรู้แล้วนะว่า NPARK อาจจะไม่ใช่บริษัทเลื่อนลอยไม่มีผู้ถือหุ้นใหญ่อีกต่อไป การเข้ามาของ BTS แบบจริงจังนี้น่าจะทำให้ NPARK ดูดีขึ้นเป็นกอง และที่สำคัญก็คือ BTS ไม่ได้ต้องการมาแสวงหาผลประโยชน์จากที่ดินบางกระเจ้าและโรงภาษีร้อยชักสามของ NPARK แต่ต้องการใช้ NPARK เป็นหน่วยธุรกิจอย่างหนึ่งของบริษัท

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการพลิกฟื้นครั้งใหม่ของ NPARK เท่านั้น ไม่ได้บอกว่า มั่นใจล้านเปอร์เซนต์ จัดไป ซื้อ NPARK ไปเลย ไม่ใช่อย่างนั้น แต่กำลังจะบอกว่ามันกลายเป็นหุ้นที่เราต้องติดตาม !

แต่ ที่เราต้องระวังก็คือ นับจากนี้ เราน่าจะได้เห็นการใช้กรรมวิธีทางการเงินอีกหลายอย่างเพื่อให้ NPARK กลับมาเป็นผู้เป็นคนได้ โดยสิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยก็คงเป็น "การรวมพาร์เพื่อลดจำนวนห้น" ที่มีอยู่ให้มันน้อยลง เพราะ หลังการสวอปหุ้น NPARK จะมีหุ้นเกือบ 6 แสนล้านหุ้น มันยากต่อการไล่ราคา โดยเฉพาะหาก BTS ไม่ทำอะไรเลย

หลายคนอาจบอกว่า ทำไมรอบที่แล้วยังขึ้นไปได้ตั้งเยอะ คุณลองย้อนไปดูเลยนะ รอบที่ผ่านมาคุณประชาเข้ามาซื้อหุ้นผ่านชื่อของตัวเองและนอมินีอีก 2 ราย ถ้าคำนวณกันดีๆแล้ว คุณประชาถอนทุนคืนไปหมดตั้งแต่ต้นแล้ว ที่เหลืออยู่ในกระดานคือ "กำไร" เท่านั้น

แต่ BTS ไม่ใช่คุณประชา เมื่อ BTS เข้ามาถือ NPARK และหวังผลในอนาคต เขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบเร่งสร้างราคาหุ้น เพราะเขาก็ไม่รีบขาย และแม้ราคาหุ้นจะขึ้นไปมากเท่าไหร่ BTS ก็ยังไม่ได้ประโยชน์เพราะการถือหุ้น 37% ไม่ต้องรวมงบ แต่เป็นการรับรู้กำไรขาดทุนตามสัดส่วนการถือหุ้น ซึ่งในระยะแรก NPARK น่าจะยังขาดทุนอยู่ ดังนั้น งบ BTS จะต้องรับรู้ขาดทุนไปด้วย

ทั้งนี้ถ้ามีการไล่ราคาหุ้นจึงไม่น่าจะเกิดขึ้นจากมือของ BTS แล้วคุณคิดว่า ถ้าตอนนี้คนเขารู้กันหมดแล้วว่า BTS เป็นเจ้าของใหม่ถือหุ้นเกือบ 50% (รวมส่วน big lot ที่คาดว่าเป็นบุคคลใกล้ชิดกับ BTS) จะมีเจ้ามือคนไหนอาจหาญจะเข้ามาไล่หุ้น NPARK อีกหรือไม่?? ด้วยหุ้นที่วนเวียนในตลาดมากกว่า 2 แสนล้านหุ้น (ไม่นับส่วนของ BTS) หุ้นมันคงไม่ได้วิ่งกันได้ง่ายๆ

นอกจากนั้นแล้ว  ยังไม่รู้ว่า BTS มีแผนจะทำอะไรกับโครงสร้างทุนของ NPARK อีกหรือไม่ ?

ยกตัวอย่างหุ้นสุดคลาสสิคอย่าง TRUE ที่เวลาเขาคิดจะทำอะไร เขาจะทำเมื่อพร้อมเท่านั้น ก็คงไม่ต่างกับคุณคีรี ถ้าคิดจะทำราคา NPARK ขึ้นมาจริงๆ ก็คงต้องรอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมจริงๆเท่านั้น ซึ่งเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ เราที่เป็นนักลงทุนรายย่อยคงไม่มีทางรู้ ถ้าจะรู้ก็ต้องให้เขาค่อยๆหงายไพ่ออกมาทีละใบแล้วคาดการณ์เอา

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า NPARK นับจากนี้ไปจะไม่เหมือนวันก่อนๆอีกต่อไป เพราะว่ามีคนที่ต้องการเข้ามาทำ NPARK อย่างจริงๆจังๆเสียที เมื่อไหร่ก็ตามที่บริษัทยังคิดที่จะธุรกิจต่อไป ราคาต่ำแค่ไหนมันก็ยังมีความน่าซื้อ

แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่บริษัทเปลี่ยนธุรกิจมา "ทำหุ้น" แล้ว หุ้นตัวนั้นก็ "สิ้นคุณค่า" ที่จะถืออีกต่อไป จะเหลือไว้ก็เพียงภาพการ "เก็งกำไร" ที่รอวันดับสูญเท่านั้นเอง ....

วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2558

7 อุปนิสัยของผู้มี EQ สูง


งานวิจัยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าความฉลาดทางอารมณ์ หรือที่เรียกว่า EQ ( Emotional Intelligence) เป็นตัวชี้วัดความสุขและความสำเร็จในชีวิต
แม้ว่า EQ จะเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น จับต้องได้ยาก แต่มันจะปรากฎออกมา ในพฤติกรรมของแต่ละคน ความสามารถในการเข้าสังคม การรับมือกับสถานการณ์ที่ยาก กระบวนการในการตัดสินใจ และมุมมองในชีวิต เป็นต้น
ปัจจุบันการทดสอบ EQ ทางวิทยาศาสตร์นั้น สามารถทำได้ แต่ก็มีค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตามงานวิจัยจากผู้คนนับพันก็พบว่า มีพฤติกรรมบางอย่าง ที่บ่งชี้ว่าคนเหล่านี้มี EQ ที่สูงกว่าคนทั่วไป
1. สามารถบ่งบอก “ภาวะอารมณ์” ของตัวเองได้
มนุษย์ทุกคนต่างมีอารมณ์ แต่เชื่อไหมว่า มีคนเพียง 36% เท่านั้น ที่จะสามารถบอกได้ว่า ขณะนี้ตัวเองรู้สึกอย่างไร คนทั่วไปไม่เข้าใจอารมณ์ มักปฏิเสธ หรือกดทับอารมณ์ของตัวเอง
คนที่มี EQ สูง จะสามารถบ่งบอก และแยกแยะระดับอารมณ์ได้อย่างละเอียดชัดเจน เช่น ตอนนี้รู้สึกแย่ หงุดหงิด รำคาญ ขุ่นเคือง โกรธ กังวล กระวนกระวาย ว้าวุ่น ฟุ้งซ่าน ยิ่งสามารถอธิบายได้ละเอียดมากเท่าไหร่ แสดงว่าเขารู้จักตัวเองดีมากเท่านั้น
……………………………..
2. มีความสนใจผู้คน และไม่ด่วนตัดสินผู้อื่น
คนมี EQ สูงนั้นจะมีความห่วงใยใส่ใจผู้คนที่อยู่รอบๆตัวของเขา จะไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางในการคิดหรือตัดสินใจ แต่จะมองรอบๆตัวว่าจะทำให้เกิดประโยชน์กับทุกฝ่ายได้มากที่สุดอย่างไร
เมื่อต้องเจอกับคนที่ขี้หงุดหงิด ขี้วีน เขาจะรักษาระดับอารมณ์ไม่ให้ขึ้นไปตามสิ่งที่มากระทบ เขามองว่าคนเหล่านี้อาจกำลังเผชิญกับปัญหาส่วนตัวอยู่ และรู้ว่าไม่มีใครถูกหรือผิดไปซะทุกอย่าง ดังนั้นเขาจะไม่ด่วนตัดสินคน และจะสื่อสารโดยใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์
……………………………..
3. โอบอุ้มความเปลี่ยนแปลง ไม่มองหาความสมบูรณ์แบบ
เขาคือคนที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนแผนได้ตลอด เขารู้ว่าความกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง คืออุปสรรคต่อความสำเร็จและความสุขในชีวิต เขาจึงมองว่าความไม่แน่นอน คือสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ และก็พร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งเหล่านั้น
เขาจะไม่ตั้งเป้าหมายถึงความสมบูรณ์แบบ เพราะรู้ว่ามันไม่มีอยู่จริง แทนที่จะมองว่าตัวเองห่างจากความสมบูรณ์แบบมากแค่ไหน เขาจะมองว่าตัวเองทำอะไรสำเร็จมาแล้วบ้าง และจะทำอะไรต่อไป
……………………………..
4. รู้จักตัวเอง จึงไม่โกรธง่ายๆ
คนที่มี EQ สูงจะรู้ว่าตัวเองถนัดอะไร และจะปรับใช้สิ่งเหล่านั้นมากขึ้นเพื่อสร้างความได้เปรียบ ขณะเดียวกันก็จะเก็บจุดอ่อนเอาไว้ ไม่ให้มาฉุดรั้งตัวเอง เขารู้ดีว่าอะไรเป็นสิ่งที่จะมากดปุ่มให้ตัวเองโกรธหรือเสียใจ และอะไรที่จะสร้างกำลังใจไปสู่ความสำเร็จ เขาจะเป็นผู้ “เลือกตอบสนองต่อสถานการณ์” ไม่ใช่ “เป็นเหยื่อของสถานการณ์” ที่เกิดขึ้น
ไม่ใช่ว่าโกรธไม่เป็น แต่ด้วยความที่เขารู้จักตัวเองดี จึงมีความมั่นใจในและเคารพในตัวเอง ดังนั้นแม้ว่าจะมีใครมาแหย่ให้โกรธ พูดจาดูถูก หรือล้อเลียน เขาจะไม่ถือเป็นอารมณ์ เพราะลึกๆแล้วเขารู้ว่า นั่นเป็นเพราะอีกฝ่ายอิจฉา และรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอต่างหาก
……………………………..
5. รู้ว่าเมื่อไหร่ควรปฏิเสธ
คนมี EQ สูง รู้ความต้องการของตัวเอง และควบคุมตัวเองได้ เขารู้ว่ายิ่งอดทนมากไป ยิ่งจะสร้างความเครียด ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะพูดว่า “ไม่” อย่างสุภาพ โดยที่ไม่รู้สึกแย่หรือกังวลภายหลัง เขารู้ว่าการใช้คำว่า “บางที ไม่แน่ใจ อาจจะ ดูอีกทีนะ” ยิ่งจะทำให้เกิดความคาดหวัง และอึดอัดทั้ง 2 ฝ่าย ดังนั้นเค้าจะให้คำสัญญาหรือตอบรับ ก็ต่อเมื่อเค้าหมายความถึงสิ่งที่พูดจริงๆ
……………………………..
6. ยอมให้ตัวเองผิดพลาดได้
คนมี EQ สูง ตระหนักดีว่า “ความผิดกับตัวเขา” ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ดังนั้นเขาจะให้อภัยตัวเองได้เร็ว เมื่อเกิดความผิดพลาด เขาจะมองหาบทเรียนที่ได้รับ และนำไปปรับปรุงสำหรับครั้งต่อไป เขาไม่ลืมความผิดนั้น แล้วก็ไม่ “จมอยู่กับความผิด” มันจะเป็นเพียงความทรงจำที่เตือนใจไม่ให้ทำผิดซ้ำ และความผิดที่ดูลำบากหนักหนาในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่จะทำให้เค้าลุกขึ้นได้ง่ายและเร็วขึ้นในครั้งต่อไป
……………………………..
7. รู้ว่าเมื่อไรควรหยุด
คนมี EQ สูงนั้นมักจัดสรรเวลา “หยุดพัก” ให้กับตัวเองอย่างสม่ำเสมอ แม้เขาจะทำงานหนัก และมีเรื่องต้องทำมากมาย แต่เค้าก็หาเวลา “ออฟไลน์” ให้กับตัวเองได้ การปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด ออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์และงาน ไม่ต้องติดต่อหรือพูดคุยกับใคร คือการมอบ “ช่วงเวลาเงียบ” ให้กายและใจได้หยุดพักอย่างแท้จริง การที่ได้มีเวลาทบทวน ใคร่ครวญกับตัวเอง ทำให้เขากลับมาทำงานได้อย่างสดชื่น มีชีวิตชีวา และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
………………………………
7 อุปนิสัยของผู้มี EQ สูง ทำให้เราสามารถประเมินตัวเองคร่าวๆได้ว่ายังขาดตกบกพร่องในข้อใด อย่างไรก็ตาม EQ ก็เป็นอุปนิสัยที่สามารถฝึกฝนให้เกิดขึ้นได้ แต่เราต้องกล้าที่จะยอมรับตัวเอง ทบทวนตัวเอง รับฟังเสียงสะท้อนจากผู้อื่น โดยเฉพาะคนใกล้ตัว
.........................
บทความนี้อ้างอิงจาก Travis Bradberry ผู้เขียนหนังสือ Emotional Intelligence 2.0 เรียบเรียงโดย "เรือรบ"

วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2558

รายชื่อหนังสือ ๑๐ เล่มที่ดาวน์โหลดมาอ่านได้ฟรี


1. หนังสือ "เปลี่ยนหนี้เป็นอิสรภาพทางการเงิน" โดย Money Coach อาจารย์ จักรพงษ์ เมษพันธุ์
http://jakkapong.wordpress.com/%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%94/
2. หนังสือ "ชีวิตเปลี่ยน เพราะการลงทุน" 
http://www.set.or.th/yourfirststock/newlife_investor.pdf
3. หนังสือ "รู้จักสไตล์หุ้น.. เพื่อเลือกลงทุนให้โดนใจ" 
http://www.tsi-thailand.org/images/stories/TSI2012_Investor/Download/Brochure/KnowStockStyle.pdf
4. หนังสือ "ตามรอยวิถีเซียนลงทุน" 
http://www.tsi-thailand.org/images/stories/TSI2012_Investor/Download/Brochure/InvestmentGuru.pdf
5. หนังสือ "MAI STOCK FOCUS 2014" 
http://www.set.or.th/th/company/files/maiSF2014_EBOOK_v2.pdf
6. หนังสือ "โอกาสทองหุ้นไทย ในเศรษฐกิจ CLMV" 
https://www.set.or.th/th/company/files/20131218_CLMV.pdf
7. หนังสือ "กูรูพันล้าน วิชัย วชิรพงศ์" เรียบเรียงโดย คุณพีร์ บุญชนะวิวัฒน์ (Wizard Kid)
http://www.ebooks.in.th/ebook/10297/%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99_%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2_%E0%B8%A7%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C/
8. หนังสือ "หุ้นตัวแรก your first stock" 
http://www.set.or.th/yourfirststock/select_by_set.pdf
9. หนังสือ "Investor's Practice Guide" คู่มือผู้ลงทุน: ฉบับลงทุนในหุ้น 
http://www.tsi-thailand.org/index.php?option=com_content&task=view&id=2282&Itemid=1835
10. หนังสือ "ศัพท์น่ารู้ เพื่อผู้ลงทุน"
http://www.tsi-thailand.org/index.php?option=com_content&task=view&id=2292&Itemid=1846
ที่มา http://supapongnilket.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2558

หมัดเด็ดเสี่ยยักษ์ ... ทำอย่างไรถึงจะมีพอร์ตพันล้าน


สรุปจากงานสัมนากลยุทธ์การลงทุนสไตล์พอร์ตพันล้านแบบนักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จ
ส่วนน้อยรวย ส่วนใหญ่กลางๆไม่ได้ไม่เสีย ทีเหลือขาดทุน
จิตวิทยาข้อสำคัญ "ต้องรอให้ได้ หุ้นทุกตัวมีรอบของมัน"
เล่นหุ้นครั้งแรกขาดทุน แต่ไม่เป็นไร คนเราต้องมีการจ่ายค่าเทอมก่อนเสมอ
อยู่ท่ามกลางแวด-วงของคนเล่นหุ้น ต้องเอาตัวเองไปคลุกคลีกับกลุ่มคนเหล่านั้น
ลอกข้อสอบของคนที่สอบตก ยังไงเราก็ยังสอบตกอยู่อย่างนั้น เราต้องลอกข้อสอบคนที่สอบผ่าน สอบได้ที่ 1 พวกเขาเหล่านั้นมีแนวคิดอย่างไร มีกลยุทธ์อย่างไรในตลาดหุ้น มีหลักการอะไรบ้าง
สไตล์ผม ถ้ามีคนบอกซื้อหุ้นที่ 7 บาท ราคาไป 10 บาท กำไร 2 บาท เป็นผม ผมไม่เล่น สำหรับผมมันต้องจาก 5 บาทไป 15 บาท แล้วต้องมีเหตุผลว่าเพราะอะไรถึงไป 15 บาท
ต้องหาบิ๊กช็อตให้เจอ อย่าเล่นหุ้นหลายตัว ดูอย่าง ดร.นิเวศน์ ชนะหุ้นเพียงแค่ตัวเดียว CPALL ถ้าหาไม่เจอเราต้องอดทนรอ
ทนรวยให้ได้ .... สมมุติผมมีหุ้นที่ 3 บาท ขึ้นไป 11 บาท ราคาลงมา 5 บาท มันเจ็บปวด แต่เราทนความเจ็บปวดได้ไหม ทนได้ไหม ถ้าเราทนได้วันข้างหน้ามันไป 13 บาท หรืออาจจะ 14 บาท
ซื้อหุ้น ต้องซื้อที่ล่างๆยอดหญ้า ไม่ใช่มันขึ้นไปถึงสวรรค์แล้วซื้อตาม เล่นแบบนี้ได้แค่ค่ากับข้าวแต่ไม่รวยนะ ต้องกลับมาถามตัวเราเองว่าเราอยู่ในตลาดหุ้นหวังรวย หรือหวังค่ากับข้าวไปวันๆ
ต้องหาหุ้นในดวงใจให้เจอ หาหุ้นพลิกชีวิต เล่นสั้นๆเดย์เทรดไม่รวย
ผมเล่นหุ้นแค่ 3 ตัว 5 ตัว แต่ต่อยหนัก(หมายถึง ซื้อตัวเดียวหนักๆ) ไม่ใช่มีหุ้น 30 ตัว 50 ตัว
ต้องหาหุ้นที่คนไม่มอง คนรังเกียจ นั้นแหละหุ้นที่ผมจะกลับมามอง เราต้องยืนอยู่ฝั่งของคนส่วนน้อย
วอลุ่มมันคือของจริง มันหลอกเราไม่ได้ หุ้นตัวนี้เมื่อก่อนเทรด 5 แสนหุ้น 8 แสนหุ้น อยู่ดีๆมาเทรด 10 ล้านหุ้นแบบนี้แสดงว่ามันต้องมีอะไรซักอย่างแล้ว ต้องกลับไปทำการบ้าน ต้องกลับไปดู
ตลาดหุ้นไม่ใช่ยิมนาสติก ไม่มีคะแนนท่ายาก ไม่ต้องซิ่งมากหรือใช้เทคนิคแปลกพิศดารอะไร
คุณไม่รู้หรอกว่าคนสำเร็จวันนี้ผ่านอะไรมาบ้าง เราเห็นแต่ตอนจบก็เลยคิดว่ามันง่าย มันสวยหรู แต่จริงๆแล้วระหว่างทาง เขาเผชิญกับความผันผวน ราคาเหวี่ยงตัวรุนแรง
อยู่ในตลาดหุ้นเราต้องจริงจัง ไม่ใช่เอาเล่นๆหวัง 5% 10% เวลาตลาดถล่ม สึนามิมันมา มันพัดลงทะเลหมด มันเอาจนคุณหมดตัว มันไม่รู้หรอกว่าคุณหวัง 5% แล้วมันจะเมตตาคุณ
อย่าไปกลัว ความกลัวจะบั่นทองกำลังใจของเรา
เวลาซื้อหุ้นเราต้องคิดเหมือนเจ้าของกิจการ
ความรู้จากอินเตอร์เน็ตมีมากมาย โดยเฉพาะ Opportunity Day จากตลาดหลักทรัพย์ นักลงทุนควรต้องดู
เครื่องมือทางเทคนิคไม่ต้องใช้ให้เยอะ ใช้ชำนาญแค่ตัวเดียวก็พอ อย่าเล่นท่ายาก
คนประสบความสำเร็จ แผลเต็มหลัง

วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2558

การเลือกลงทุนในหุ้นทั้ง 6 ประเภท


การศึกษาและหาหุ้นเพื่อลงทุนนั้นเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญ หุ้นก็เหมือนคน ที่มีความแตกต่างทางนิสัยและพฤติกรรม เราจึงควรเลือกหุ้นที่ "เข้ากับเราได้" และเหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุนของเรามากที่สุด.. หลายคนอาจมองข้ามขั้นตอนนี้ไป แต่การเลือกหุ้นให้ถูกจริตกับนักลงทุนนั้นสามารถช่วยให้เราลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเสี่ยงและความเครียด และส่งผลบวกต่อผลตอบแทนโดยรวม...

ผู้จัดการกองทุนและนักลงทุนชื่อดัง Peter Lynch เคยนิยามประเภทหุ้นแบบกว้างๆไว้ทั้งหมด 6 ประเภท.. หุ้นแต่ละประเภทมีปัจจัยด้านความเสี่ยง ความผันผวน และพฤติกรรรมการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกัน.. ดังนั้นหลักการในการวิเคราะห์และกลยุทธ์การซื้อขายย่อมต้องต่างออกไปด้วย.. ในบทความนี้เราจะมาเรียนรู้ถึงความแตกต่างเหล่านี้ จะได้เลือกหุ้นที่เข้ากับนิสัยของเราได้ และใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมแก่การซื้อขาย..

1. หุ้นโตช้า
หุ้นในกลุ่มนีมักเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีประวัติและพื้นฐานทางการเงินที่มั่นคง การเติบโตที่ช้าแต่ต่อเนื่องทำให้หุ้นกลุ่มนี้เป็นหุ้นที่ "ปลอดภัย" และโดยมากจะสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ในปริมาณที่น่าพึงพอใจ... หุ้นประเภทนี้จะค่อยขึ้นแบบช้าๆ และมีความคาดหวังการเติบโตต่อปีต่ำ เช่นหุ้นบริษัทสาธารณูปโภคทั้งหลาย... ดังนั้นจึงเหมาะกับการลงทุนแบบระยะยาวเพื่อรับปันผลต่อเนื่อง เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ และควรหาจังหวะเข้าซื้อเมื่อราคาถูกมากๆ

2. หุ้นโตปานกลาง
หุ้นบริษัทขนาดกลางถึงใหญ่ที่มีเชื่อเสียงคนส่วนใหญ่รู้จัก สามารถเติบโตได้ราว 10-15% ต่อปี.. หุ้นกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีปันผลให้แต่ปริมาณของปันผลขึ้นอยู่กับยอดขายและผลประกอบการในแต่ละปี.. บริษัทอาจออกผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นครั้งคราว แต่ไม่ได้มีผลต่อการเคลื่อนไหวที่หวือหวามากนัก.. สามารถนำมาลงทุนในรอบระยะกลางถึงยาว เพื่อรับผลตอบแทนทั้งปันผลและส่วนต่างของราคา.. เหมาะสมกับการถือในสัดส่วนที่สูงในพอร์ต เพราะค่อนข้างปลอดภัยและสร้างผลตอบแทนที่ใช้ได้..

3. หุ้นโตเร็ว
หุ้นบริษัทเล็กที่มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดราว 20-25% ต่อปี.. ทำให้สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงในระยะเวลาอันสั้น ถ้าเลือกถูกตัวอาจขึ้นได้หลายเท่าตัว.. แต่แน่นอนความเสี่ยงก็สูงตามมาด้วย ราคาหุ้นมีความผันผวนมากกว่า ถ้าบริษัทโตไม่ทันความคาดหวังของนักลงทุน ราคาอาจลงแรงได้ในฉับพลัน.. จังหวะการเข้าออกจึงมีความสำคัญมาก ควรใช้กราฟ Technical มาช่วยจับจังหวะ และไม่ควรถือในสัดส่วนที่มากเกินไป

4. หุ้นวัฏจักร
หุ้นกลุ่มนี้มักเคลื่อนไหวเป็นรอบๆที่สอดคล้องกับภาพใหญ่ของอุตสาหกรรมหรือเศรษฎกิจ เช่นกลุ่มก่อสร้าง ท่องเที่ยว... รายได้ของบริษัทจึงขึ้นลงตามจังหวะของรอบนั้น.. เป็นการลงทุนทีมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากถ้าเข้าซื้อผิดจังหวะอาจทำให้เสียหายหนักได้.. การศึกษาด้านวัฏจักรของกลุ่มอุตสาหกรรมจึงจำเป็น จังหวะเข้าออกสำคัญที่สุด ถือยาวไม่ได้ เหมาะสมกับคนที่มีประสบการณ์ใช้ Technical หาจังหวะเข้าออก และมองภาพรวมขาดเท่านั้น..

5. หุ้น Turnaround
บริษัทที่เคยย่ำแย่ขาดทุนมาก่อนในอดีต ราคาหุ้นตกลงมาแล้วไม่ขยับไปไหน แต่สามารถฟื้นฟูธุรกิจหรือมีอะไรใหม่ๆ เช่นผลิตภัณฑ์หรือผู้บริหาร ที่สามารถนำพาบริษัทให้พลิกกลับมากำไรใหม่ได้อีกครั้ง.. ถ้าสามารถหาบริษัทประเภทนี้เจอในจังหวะที่เหมาะสม จะทำกำไรได้อย่างมหาศาลในเวลาอันสั้น.. แต่ความยากอยู่ในการวิเคราะห์และค้นหาหุ้นที่จะ Turnaround เพราะไม่ง่ายที่บริษัทที่มีปัญหาจะสามารถฟื้นกลับมาได้จริง.. ดังนั้นหุ้นประเภทนี้จึงเหมาะกับคนที่สามารถศึกษาบริษัทได้อยากลึกซึ้งจริงๆ และรับความเสี่ยงได้สูง..

6. หุ้น Asset Play
หุ้นกลุ่มนี้เป็นบริษัที่มีสินทรัพย์ซ่อนอยู่ที่มีมูลค่าสูงกว่าราคาตลาด แต่ยังไม่ได้ถูกสะท้อนออกมาในราคา.. อาจเป็นเพราะคนส่วนใหญ่ยังมองไม่เห็นหรือมองข้ามไป ทำให้ราคาตลาดยังไม่ตอบสนอง เปรียบได้กับการเลือกซื้อของถูก.. สินทรัพย์ที่ซ่อนมูลค่าต้องมองหาจากงบการเงิน เช่นที่ดินที่เก่าที่ยังไม่ถูกนำมาประเมินใหม่.. เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เก่ง Fundamental เพราะความเสี่ยงอยู่ที่การประเมินมูลค่าที่ไม่มีจุดจับต้องที่ชัดเจน และต้องมีความอดทนสูงเนื่องจากอาจใช้เวลานานกว่ามูลค่าที่แท้จริงจะแสดงออกมา..

จัดกันไปแบบครบถ้วนทั้ง 6 แบบ.. ลองไปดูกัน ว่าอันไหนเหมาะกับตัวคุณมากที่สุด..?? ครั้งหน้าก่อนซื้อหุ้นถามตัวเองด้วยว่าตรงกับจุดมุ่งหมายเราไหม..!! อย่าลืมว่านี่เป็นเพียงการเลือกจากภาพใหญ่เท่านั้น ในการตัดสินใจซื้อขายต้องรู้ทั้ง Fundamental ที่ช่วยบอกมูลค่าของบริษัท และ Technical ช่วยหาจังหวะในการซื้อขาย รวมไปถึงเทคนิคการจำกัดความเสี่ยง.. 
Cr.The Stock Master.

วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2558

5 อย่า ที่อย่าทำใน day trade

อยาก
1 อย่าเทรดหุ้นตัวที่คึกคักที่สุด 
กฏข้อนี้อาจดูแปลกๆ แต่ลองคิดดูสิว่าเราจะเจออะไรบ้างในสนามที่มีการแข่งขันสูง Day Trade ที่เก่งๆ ก็กำลังจับตามองมันอยู่เหมือนกัน ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยเราควรจะเทรดหุ้นตัวที่รองลงมาในหุ้นกลุ่มนั้นๆ แทน
2 อย่าเทรดในช่วงเวลาอันตราย
การขาดทุนส่วนใหญ่เกิดจากการเทรดในช่วง 11.30 - 14.30 น. ในขณะที่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเทรด คือ 2 ชั่วโมงแรกหลังเปิดตลาด ในช่วงเวลาอันตรายนั้นปริมาณการซื้อขายมักจะต่ำ และ Market Maker มักจะ...ไม่ค่อยซื้อขายมากในช่วงเวลานี้ ส่วนการขาย Short นั้นมักจะครึกครั่กในช่วงเวลา 11.30 - 13.00 น. สำหรับหุ้นที่ทำ New High สูงกว่าเดิม และ New Low ต่ำกว่าเดิม เพราะ Market Maker มักจะเสนอราคาซื้อที่ต่ำลงเพื่อกดราคา และไล่คนที่ทนไม่ไหวออกไปพักทานมื้อเที่ยง และกลับมาซื้อใหม่ในช่วงบ่ายแทน
3 อย่าขาดทุนแบบมีเหตุผล
เหตุผลเดียวในการที่คุณจะซื้อหุ้น คือ คุณคิดว่านักลงทุนรายอื่นซื้อหุ้นตัวนั้น ในตอนนั้น ถ้าหากว่าคุณมอง Trend ผิด และมีคนขายมากกว่าคนซื้อ ให้ขายหุ้นตัวนั้นทิ้งทันที ***เน้นย้ำ ขายทิ้งทันที*** ตลาดไม่เคยสนใจกับพื้นฐานของหุ้น รายได้ หรืออัตรา และสัดส่วนต่างๆ ในเวลาสั้นๆ ที่คุณถือหุ้นอยู่หรอก ดังนั้นถ้าคุณพลาดยอมรับความพ่ายแพ้เล็กๆบ้าง เพื่อให้เกิดการขาดทุนน้อยที่สุด
4 อย่าสับสนระหว่าง Day Trade และ Value Investor
นี่คืออุปสรรคสำคัญที่นักลงทุน Day Trade ส่วนใหญ่ไม่สามารถข้ามไปได้ ถ้าการเทรดของคุณ คือ การเข้าไปซื้อหุ้นแล้วถือไว้ไม่กี่นาที หรือแค่ไม่กี่ชั่วโมงล่ะก็ คุณก็ไม่ต้องไปสนใจกับ ”คลื่นแทรก” ต่างๆ เช่น การจัดอันดับโดยนักวิเคราะห์ เส้นค่าเฉลี่ย 30 วันเป็นอย่างไร หรือว่าแนวรับแนวต้านของ 2 เดือนที่ผ่านมาอยู่ตรงไหน คุณจะทำกำไรจากความรุนแรงจากการเคลื่อนไหวของราคาเท่านั้น อย่าถือหุ้นที่ทำให้คุณขาดทุน แล้วคุณก็ถือไว้โดยหวังว่า ”สักวันมันจะฟื้นคืนชีพเหมือนผีดิบ” เพราะนั่น คือ หนทางที่จะนำมาสู่การสูญเสียครั้งใหญ่หลวง หากว่าหุ้นกำลังลงแล้วหยุดที่ระดับหนึ่งพร้อมๆ กับแรงขายที่หมดลงแล้ว จึงควรจะถือหุ้นนั้นต่อ
5 อย่าต่อต้านแนวโน้ม
นักลงทุนที่เล่นหุ้นแบบ Day Trade ที่ประสบความสำเร็จได้ เราต้องเข้าใจ และทำกำไรจาก Trend จงเพิ่มความใส่ใจ และสมาธิของคุณไปอีกอย่างน้อยสี่เท่าจากเดิม และให้แน่ใจว่าคุณอ่าน Bid / Offer เป็น (คือดูแรงซื้อขายออก ว่าราคาจะไปในทิศทางไหน) และสิ่งที่สำคัญมากๆ คือ สนใจหุ้นเฉพาะไม่กี่ตัวที่เรารู้จักดี เช่น ใครคือเจ้าที่คุมตัวนี้ แก็ปราคาอยู่ที่เท่าไหร่ ช่วงราคาของวันประมาณเท่าไหร่
6 หลีกเลี่ยงคำแนะนำหุ้นราคาถูก
พยายามหลีกเลี่ยงคำแนะนำในการซื้อหุ้นจากห้องสนทนาทั่วไป หรืออย่าไปทำตามคนหมู่มาก การรียนรู้เพื่อเป็นมืออาชีพนั้น คือ การอ่านหนังสือ หรือแหล่วงข้อมูลต่างๆ แล้วดึงเกร็ดความรู้ สาระสำคัญออกมาประยุกต์ใช้ ยิ่งคุณดึงประสิทธิภาพที่ได้รับจากภูมิความรู้มากขึ้นเท่าไหร่ คุณจะพบว่าผลตอบแทนคุ้มค่ากว่าคำแนะนำในการซื้อหุ้นจากห้องสนทนาทั่วไปเสียอีก
7 ล้มเหลวที่จะเรียนรู้จากความผิดพลาด
ถามคำถามกับตัวเองบ้าง เช่น วันนี้ตลาดสอนอะไรให้เราบ้าง? หุ้นตัวไหนที่เราทำกำไรได้ดีสม่ำเสมอๆ เพราะอะไร? ทำไมเราถึงขาดทุนจากการเทรดครั้งนี้ และจะทำอะไรได้บ้างเพื่อให้การขาดทุนน้อยลง? ทำยังไงถึงจะสร้างลักษณะการลงทุนที่ทำกำไรให้เราได้?
เครดิต ...เล่นหุ้นตามเซียน

วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2558

"กับดัก 8 ประการ" มือใหม่ต้องระวัง..!!



1. ไม่กระจายความเสี่ยง
"อย่าเก็บไข่ทั้งหมดในตะกร้าใบเดียว".. เพราะหากคุณพลาดทำมันตก คุณจะไม่เหลืออะไรเลย..!! การกระจายความเสี่ยง = ลดความเสี่ยง.. แต่มือใหม่ไม่ชอบซื้อหุ้นหลายตัว เพราะคิดว่ารวยช้า.. อัดตัวเดียวแล้ววัดกันไปเลยดีกว่า... ฟังแล้วคล้ายๆกับการพนันเลย ว่าไหม..??

2. ไม่มีแผนการลงทุน
 ก่อนซื้อหุ้นเคยทำแผนก่อนหรือเปล่า..?? หรือว่าเพื่อนบอกแล้วก็ซื้อเลย ไม่ต้องไปคิดมาก..!! พอขาดทุนทำยังไง ก็โทษเพื่อนซิ.. ง่ายดี..!! การลงทุนที่ดีต้องมีแผนเสมอ ว่าจะเลือกหุ้นยังไง เข้าออกตรงไหน บริหารเงินทุนอย่างไร.. สำคัญสุดๆ..

3. ตั้งเป้าไม่สมจริง
 เพิ่งก้าวเข้ามาในตลาด ยังไม่มีความรู้ แต่อยากได้กำไรเยอะๆ ปีละ 100%.. กดดันตัวเองจนเกินไปโดยไม่ดูความเป็นไปได้ในชีวิตจริง..!! นักลงทุนชื่อดังระดับโลกยังทำไม่ได้เลย..!! สุดท้ายอย่าลืมว่า "ผลกำไรก้อนโต".. สำคัญไม่เท่า "ความสม่ำเสมอ" นะ..

4. เล่นหุ้นตามข่าว
 ซื้อหุ้นตาม "เขาบอก"... แล้วเขาคือใคร เคยถามไหม..?? รอข่าวดีแล้วค่อยซื้อ แปลว่าหุ้นขึ้นมาเยอะแล้ว ก็ซื้อแพงตลอด.. รอข่าวร้ายค่อยขาย ก็คือขายถูกตลอด.. สรูป "ซื้อแพง ขายถูก".. แล้วเมื่อไหร่จะกำไร?

5. ไม่ทำการบ้าน
 หลายคนเข้ามาในตลาดเพราะมองเป็นหนทางในการ "รวยง่ายๆ".. ไม่เหนื่อย ทำงานวันละไม่กี่ชั่วโมง.. จริงหรอ!? ลองไปถามนักลงทุนที่ประสบสำเร็จดู.. ทุกคนจะบอกว่าเขาต้องทำการบ้านหนักแค่ไหน วางแผนการลงทุนนอกเวลาทำงานตลอด ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆหรอก.. จะทำต้องทำจริง!!

6. ทนรวยไม่เป็น
 กำไรหุ้นอยู่ 5% แต่กลัวมันลง.. รีบขายก่อนดีกว่า เอาชัวร์..!! ได้ครั้งละไม่กี่ช่อองแบบนี้แล้วก็มาบ่นว่าทำไมไม่รวย.. ก็เพราะไม่ยอมทนรวยไง.. จะเป็น VI ต้องแยกแยะให้ออกระหว่าง "ราคาและมูลค่า" ส่วนเทรดเดอร์ก็ต้องดูแนวโน้มหลักให้ออก let profits run ให้เป็น..!!

7. ไม่ยอม Cut Loss

ความหวังเป็นสิ่งที่ดี... แต่การมีความหวังตอนขาดทุนหุ้น แบบนี้ไม่ดีแน่..!! หวังว่าหุ้นจะกลับมาที่เดิม หวังว่าขาดทุนจะพลิกเป็นกำไร.. ยิ่งหวังก็ยิ่งไม่ยอมตัดขาดทุน.. สุดท้ายติดดอยยาวตามสูตร.. ความคิดแบบนี้ ต้องปรับด่วน..!!

8. เล่นแต่หุ้นปั่น
 ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่ามือใหม่ชอบเล่นหุ้นปั่น มันตื่นเเต้น น่าลุ้น แถมยังทำให้รวย(และจน)เร็วได้ด้วย.. เล่นหุ้นผันผวนมากๆแต่ไม่รู้จริง ระหว่างวันก็ต้องทำงานไม่มีเวลาเฝ้า เล่นไปเล่นมามีแต่ความเครียด แค่นี้ก็รู้ชะตากรรมแล้ว..!! เล่นแต่หุ้นไร้พื้นฐานแล้วไม่เวิร์ค ลองหันมาดูหุ้นที่มีพื้นฐานกันบ้างดีไหม..? 

วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ทำไม นักวิเคราะห์แนะให้ซื้อ มันกลับลง พอแนะขาย มันกลับขึ้น?


การที่นักวิเคราะห์เชียร์ให้ซื้อแล้วลง เชียร์ให้ขาย แล้วขึ้น ไม่ใช่เพราะ เขาไม่มีความรู้และเครื่องมือในการทำงาน ที่ดีพอนะ ความรู้และเครื่องมือในการวิเคราะห์การลงทุนของเขา มากมายหลายหลาก แต่รายใหญ่ หรือ ผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือ เจ้าของบริษัท เดี๋ยวนี้ เขามักจะเลือกคนเก่งกราฟ มาดูแลราคาหุ้น และใช้เครื่องมือเหล่านั้น มาหาประโยชน์ส่วนตนอีกที ด้วยการไล่ราคาหุ้นจนกระทั่งกราฟ "สั่งซื้อ" (buy signal) แล้ววางขายรินขายฝั่ง offer เมื่อกราฟ "สั่งถือ" แล้วทุบเปรี้ยงลงมาเลย เมื่อแรงเคาะซื้อเริ่มหมดแรง เพื่อให้กราฟ "สั่งขาย" ให้เขาได้ซื้อคืนในราคาที่ต่ำกว่าเดิม ...... นี่คือความจริง ภาคสนามรบ 

The Secret Has Been Revealed! 

ถ้าท่านเป็นเจ้าของบริษัท อุตส่าห์์ไล่ราคาขึ้นมาตั้งเยอะ แต่กลับโดนใครก็ไม่รู้ ที่มีหุ้นต้นทุนต่ำๆ ขายใส่ตลอดทาง ท่านเซ็งไหม ....... มันต้องใช้เงินมากขึ้นกว่าเดิมไหมในการทำราคา หากพวก net settlement มาจับเสือมือเปล่า กินเงินท่าน ไปฟรีๆ ในแต่ละวัน .... ด้วยเหตุนี้ รายใหญ่ จึงมี ลาก มีกระชาก มีขายทิ้ง เป็นระยะๆ ไม่งั้น เงินหมดตัวแน่ กว่าราคาหุ้นจะถึงเป้าหมาย ที่ "นาย" สั่ง 

Step a - 
เมื่อเขาต้องการซื้อหุ้น ในราคาถูก เขาจะไปเช็คกราฟ technical จากโปรแกรมของเขา เพื่อหาจุด cut loss และแนวรับ จากนั้น เขาจะสั่งมาร์เก็ตติ้ง อีกโบรกฯ หนึ่ง ให้ตั้ง bid ไว้ หลายๆราคา + สั่งมาร์เก็ตติ้งอีกโบรกฯ หนึ่ง ให้ตั้ง bid ที่แนวรับ + สั่งมาร์เก็ตติ้งอีกโบรกฯ หนึ่ง ให้ตั้ง bid รอ ในระดับราคาที่ต่ำกว่าจุด cut loss ..... 
จากนั้น เขาจะสั่งมาร์เก็ตติ้ง อีกโบรกฯหนึ่ง ให้ขายโครมลงมา ที่ฝั่ง bid (หุ้นไม่ได้หายไปไหน แค่เปลี่ยนไปอยู่ในมือของอีกโบรกฯหนึ่ง) ผลที่เกิดขึ้นคือ ผู้ถือหุ้นต้นทุนต่ำรายอื่นก็จะทิ้งหุ้นลงมาด้วย ทำให้ bid ที่เขาสั่งตั้งไว้ที่แนวรับ ได้ของไปพอสมควร 
จากนั้น ก็สั่งขายหุ้นที่เพิ่งซื้อมาเมื่อกี้นี้แหละ โครมลงมาอีกที เพื่อให้หลุดแนวรับ หรือ ให้ถึงจุดที่โปรแกรมจะต้องสั่งขาย .... เมื่อหลุดแนวรับ หรือ เมื่อถึงจุดที่โปรแกรมสั่งขาย คราวนี้ ราคาจะไหลรูดดิ่งลงมาอย่างรวดเร็ว ปริมาณหุ้นที่เขาตั้งซื้อในระดับราคาต่ำๆ จะได้รับคืนครบหมดตามปริมาณที่เขาต้องการ หรือ อาจจะ blocked ราคาที่ฝั่ง offer ไปนานๆ จนกว่าจะได้ของครบ ระหว่างนี้ อาจมี ตบ มี ทุบ ด้วยก็ได้ หากของยังไม่ได้คืนอย่างที่ตั้งใจ ......แล้ววันรุ่งขึ้น นักวิเคราะห์ทุกโบรกฯ ก็จะดาหน้า มา recommend "sell" เองแหละ เพราะกราฟมันสั่งขาย อีกไม่นานเขาก็จะได้ของครบเลย บรรลุวัตถุประสงค์ .... นี่จึงเป็นเหตุผล ที่ต้องใช้กลยุทธ์ Short Against Port ควบคู่ไปกับ การใช้ จุด Trailing Stop (เช่นเดียวกับการยก Trailing Stop ขึ้นไปเรื่อยๆ ควบคู่ไปกับกลยุทธ์ Let Profit Run) 


Step b - 
พอได้ของครบ ก็ค่อยๆเคาะซื้อไล่ราคาขึ้น แบบไม่ให้ใครสังเกต ระหว่างนี้ กราฟยังไม่สั่งซื้อนะ คนในตลาดก็จะไม่ค่อยได้สังเกตเห็น ..... เมื่อได้ของพอประมาณแล้ว ก็จะปล่อยข่าวดีเป็นระยะๆ พร้อมสั่งให้อีกโบรกฯ วางขายหุ้นหนาๆ ที่ฝั่ง offer แล้วตัวเองก็สั่งอีกโบรกฯ ให้เคาะซื้อไล่ราคาขึ้นไป (หุ้นไม่ได้เพิ่มมากขึ้น แค่เปลี่ยนไปอยู๋ในมือของอีกโบรกฯหนึ่ง) อีกไม่นาน มันก็ผ่านพ้นแนวต้านได้ โปรแกรมก็จะสั่งซื้อแล้ว คราวนี้ นักวิเคราะห์ก็จะดาหน้ากันออกมา recommend "buy" ..... 
โธ่ ท่าน คนมา bid ซื้อเยอะๆในราคาสูงๆอย่างงี้ ตุนไว้ 30 ล้านหุ้น 50 ล้านหุ้น ไม่ขายตอนนี้จะไปขายตอนไหน .... แต่ ครั้นจะขายโครมลงมา กราฟจะเสีย ราคาจะเสีย อย่ากระนั้นเลย กราฟยัง "สั่งถือ" เราเลยต้องแอบๆขาย มีเคาะขวาสลับบ้าง เพื่อสร้างความมั่นใจ ว่า "ยังสั่งถือ" .... จนเมื่อใด ที่แรงซื้อเริ่มเบา คราวนี้ล่ะ เขาจะรีบขายโครมลงมาอย่างรวดเร็ว ไม่งั้น อีก 10 ล้านหุ้นที่เหลือ จะออกไม่ทัน (แต่เดี๋ยวก่อน ขอเก็บไว้สัก 2 ล้านหุ้นแล้วกัน ที่จะไม่ขาย จะเตรียมไว้ขาย ในวันหลัง โดยจะขายโครมลงมาจนหลุดแนวรับหลุดหลุ่ย เพื่อให้กราฟสั่งขาย ไม่งั้น เดี๋ยวจะไม่ได้ของคืนหากทุกคนยังเก็บหุ้นไว้ไม่ยอมปล่อย) ......
แล้ววันรุ่งขึ้น นักวิเคราะห์ทุกโบรกฯ ก็จะดาหน้า มา recommend "sell" เองแหละ เพราะกราฟมันสั่งขาย อีกไม่นานเขาก็จะได้ของครบเลย บรรลุวัตถุประสงค์ ..... 
"นาย" ก็ happy เพราะสัดส่วนการถือหุ้นยังคงเดิม แต่ฟันกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้นเรียบร้อยไปแล้ว 40-80% (บางท่านอาจจะบอกว่า เขาได้กันที เป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ อันนี้ ไม่จริง เพราะ ส่วนหนึ่งของราคาที่ขึ้นไป เกิดจากการซื้อเอง ขายเองด้วย > กำไรจากโบรกหนึ่ง แต่ไปขาดทุนในอีกโบรกฯหนึ่ง การคำนวณกำไรจึงไม่สามารถเอา high มาลบ low แล้วคูณด้วยราคาหุ้นได้)

*** เพราะเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องใช้ทุกอย่างร่วมกันในการประกอบการตัดสินใจลงทุน ..... หุ้นไม่มีทางลัด ไม่มีสูตรสำเร็จ ที่จะให้ใครมาสั่งซื้อสั่งขาย แล้วเรามานั่งรอรับตังค์สบายๆ โดยไม่ต้องทำการบ้านมาล่วงหน้า ****

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ข้อผิดพลาดของนักลงทุนที่พบบ่อยๆ



1.เลือกหุ้นไม่เป็น ไปซื้อหุ้นปลายแถวและไม่ใช่ผู้นำในตลาด
2.ซื้อหุ้นในขาลงเพราะคิดว่าได้ของถูกทั้งที่กิจการนั้นอาจจะใกล้เจ๊งเต็มที 
3.ซื้อหุ้นถัวเฉลี่ยขาลง เพราะเหมือนกับการเอาเงินดีไปรวมกับเงินแย่ แทนที่จะกำไรกลายเป็นขาดทุนไปเรื่อยๆ 
4.ซื้อหุ้นโดยดูจากราคา เพราะคิดว่าได้จำนวนหุ้นมากกว่า เช่น หากเรามีเงินลงทุน100บาท ซื้อหุ้นราคา1บาทก็ได้ 100หุ้น แต่ถ้าซื้อหุ้นราคา10บาทจะได้แค่ 10 หุ้น ซึ่งบางครั้งหุ้นราคาต่ำกว่าอาจไม่ใช่หุ้นที่ดีในอุตสาหกรรมนั้นก็ได้ แถมยังมีการเคลื่อนไหวขึ้นลงของราคาเร็วกว่าด้วย 
5.ซื้อหุ้นโดยไม่มีความรู้ ไม่ลงทุนศึกษาพื้นฐานหรือเทคนิคอล 
6.เชื่อข่าวลือ หรือเชื่อข่าวท่านเค้าบอกมา 
7.เฟ้นหาเฉพาะหุ้น P/E ต่ำ ซึ่งบางทีหากเราคิดว่าราคาหุ้นมันยังไม่ไปไหนมันอาจจะต่ำเพราะกำไรต่ำเตี้ยนั่นเอง 
8.ซื้อหุ้นเฉพาะชื่อที่คุ้นเคย ซึ่งบางครั้งหุ้นชื่อแปลกๆอาจเป็นเพชรในตมก็ได้ 
9.นักลงทุนมากกว่า98%กลัวที่จะซื้อหุ้นที่ทำnew high เพราะเขารู้สึกว่ามันแพงเกินไปแล้ว ซึ่งข้อนี้เป็นเพียงความรู้สึกของนักลงทุนเท่านั้น 
10.เมื่อซื้อหุ้นผิดตัวแล้วเกิดการขาดทุน ก็จะดึงดันถือสถานะนั้นไปเรื่อยรอจนขาดทุนเยอะๆแล้วจึงตัดใจขายทิ้ง นั่นทำให้เจ๊งหนัก 
11.นักลงุนมักจะขายหุ้นที่มีกำไรออกมาก่อนตัวที่ขาดทุน เพราะพอหุ้นขึ้นทนรวยไม่ได้ แต่เมื่อหุ้นลงกลับเป็นศรีทนได้ 
12.นักลงทุนบางคนมัวแต่กังวลเรื่องคอมมิชชัน แท้ที่จริงเราควรกังวลถึงกำไรสุทธิมากกว่า 
13.นักลงทุนจะซื้อหุ้นโดยตั้งbidรอ ไม่กล้าโยนofferทำให้เราอาจเสียโอกาสทำกำไรหรือควบคุมจุดขาดทุนไม่ได้ 
14.ตัดสินใจไม่ได้และมีความลังเลว่าจะซื้อหรือขายดี เพราะไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ By: William O'Neil จากหนังสือ "How to Make Money in Stocks

วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

20 ข้อ ที่ควรให้ลูกรู้และปฏิบัติก่อนอายุ 45


20 ข้อ ที่ควรให้ลูกรู้และปฏิบัติก่อนอายุ 45

1. ไม่ต้องตั้งใจเรียนมากไปในสายวิชาที่ตนเลือก แต่ภาษาอังกฤษ จำเป็นมากๆ จงให้ใส่ใจ ส่วนวิชาอื่นๆ เอาแค่ดีพอหางานดีๆทำก็พอ เพราะโลกแห่งความเป็นจริง วัดกันที่ผลงาน ไม่ใช่ที่เกรด
ภาษาอังกฤษสร้างผลงานได้

2. การทำกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยนั้นสำคัญมากพอๆ กับการคร่ำเคร่งหน้าตำราเรียน

3. เลือกงานที่เราชอบนั้นใช่ แต่อย่าลืมด้วยว่า อาชีพนั้น..
สามารถเลี้ยงดูตัวเราได้จริงหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ก็อย่าหลอกตัวเอง

4. เมื่อถึงวัยทำงาน ใครเก็บเงินก่อน รวยเร็วกว่าและสิ่งสำคัญ
ที่ต้องจำไว้ คือ "ชีวิตที่ไม่มีหนี้ คือชีวิตที่ประเสริฐที่สุด"

5. หาเป้าหมายในชีวิตให้เจอโดยเร็วที่สุด เพราะมันจะเป็นเครื่องนำทางของคุณ ในชาตินี้ตลอดไป

6. ซื้อบ้านก่อน ที่จะซื้อรถ เพราะบ้านมีแต่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น รถมีแต่มูลค่าลดลง ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า รถ=ลด

7. ดอกเบี้ยบ้านนั้นมหาโหดมาก รีบใช้ให้หมดโดยเร็วพลัน ก่อนที่จะแก่ แล้วผ่อนไม่ไหว

8. การเก็บเงินเป็นแค่บันไดขั้นแรก
สู่ความร่ำรวย แต่ขั้นต่อมา คือ ต้องรู้จักลงทุน. อย่าลืมคบกับที่ปรึกษาการเงินไว้เป็นเพื่อน

9. อย่าเป็นศัตรูกับใครก็ตามบนโลกใบนี้ เพราะคุณจะไม่มีทาง รู้ว่าวันหนึ่งเขาอาจจะยิ่งใหญ่มาก จนกลับมาทำร้ายคุณก็เป็นได้

10. คอนเน็คชั่นหรือสายสัมพันธ์เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ต่อให้เก่งแค่ไหน ก็สู้การมีเพื่อนเยอะไม่ได้

11. ควรมีงานทำมากกว่า 1 งาน
เพราะความมั่นคง ไม่เคยมีบนโลกใบนี้

12. อย่าคิดว่าตัวเองทำอะไรได้แค่อย่างเดียว
เพราะความสามารถของคนเรา มีมากกว่า 1 เสมอ

13. เมื่อมีโอกาสใดก็ตามเข้ามา
จงอย่าปฏิเสธ ถึงจะล้มเหลว แต่มันก็คือ ประสบการณ์

14. สร้างเนื้อ สร้างตัว
ให้ได้เร็วที่สุด ในขณะที่คุณยังมีกำลัง ยังเป็นหนุ่ม-สาว เพราะการฝ่าฟันอุปสรรคในช่วงอายุมาก ไม่ใช่เรื่องสนุก

15. ออกเดินทางท่องเที่ยวตั้งแต่ยังหนุ่มสาว
เพราะเมื่อมีครอบครัว การเดินทางจะเป็นเรื่องยุ่งยากกว่าเดิม

16. เลือกคู่ชีวิต จงคิดให้ดีๆ อย่าดูแต่ข้อดีของเขา แต่ต้องดูด้วยว่าเราสามารถรับข้อเสียของเขาได้มากแค่ไหน

17. การมีแฟน หรือสามีภรรยา ยังเลิกกันได้ แต่ความเป็นพ่อแม่ลูก นั้นเลิกกันไม่ได้ เพราะฉะนั้น ควรดูแลพวกเขาให้ดีๆ

18. ความสำเร็จที่มากมายแค่ไหน ก็ไม่สามารถ
ทดแทนความล้มเหลวของครอบครัวได้

19. ลองหาเวลาอยู่ว่างๆ ไม่ต้องทำอะไรเลยดูบ้าง อย่าแบก
โลกทั้งใบไว้คนเดียว และอีกอย่างงานก็ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต

20. สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญอันหนึ่ง โปรดถนอม
ตัวเองให้มาก เมื่อยังเป็นวัยรุ่น อย่าใช้ชีวิตให้หนักเกินไป

# หากคิดว่าโพสต์นี้มีประโยชน์ !!
กรุณาเเบ่งปันให้สักคนรับรู้

วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558

ค้นพบนิยามความสุข

หนังเรื่อง Hector and the search for happiness  หนังสร้างจากหนังสือขายดี เป็นเรื่องราวของ จิตแพทย์คนหนึ่ง มีอาชีพทำหน้าที่ให้ปรึกษาคนไข้ อยู่มาวันหนึ่งเขาเริ่มรู้สึกว่า สิ่งที่เขาตอบคนไข้ไปมันไม่จริง เหมือนโกหกไปวันๆ คำตอบเป็น pattern ไม่ได้มาจากของจริง เขาเลยตัดสินใจเดินทางรอบโลกเพื่อค้นหาว่า จริงๆแล้วนิยามความสุขคืออะไรกันแน่ ในระหว่างทางเขาก้อได้จดบันทึกนิยามความสุขที่เขาได้พบเจอไปดัวย หนังจบลงที่เขาได้ค้นพบนิยามความสุขจริงๆแต่ไม่ใช่เพื่อคนไข้เขา กลับเป็นตัวเขาเอง ผมดูจบด้วยความประทับใจและยังฟินอยู่ เลยไป search หาว่าบันทึกนิยามความสุขของ Hector มีไรบ้าง มีคนโพสและแปลไว้ในเน็ต เลยเอามาแบ่งปันคับ 
" บันทึกนิยามความสุข " จากนายเฮคเตอร์ นำมาฝากกัน

1. Making comparisons can spoil your happiness
ความสุขจะลดลงถ้ามีการนำไปเทียบ

2. Happiness often comes when least expected
ถ้าคาดหวังน้อย ความสุขจะมา

3. Many people only see happiness in their future
หลายๆคนมองแต่ความสุขในอนาคต

4. Many people think happiness comes from having more power or more money
และหลายๆคน ก็คิดว่าความสุขมาจากการมีอำนาจหรือเงิน

5. Sometimes happiness is not knowing the whole story
บางครั้งความสุขเกิดจากการที่ไม่รู้ในทุกเรื่อง

6. Happiness is a long walk in beautiful, unfamiliar mountains
ความสุขคือการเดินทางที่สวยงาม ข้ามภูเขาที่ไม่คุ้นเคย

7. It’s a mistake to think that happiness is the goal
มันไม่ใช่นะ ที่คิดว่าความสุขเป็นเป้าหมาย

8. Happiness is being with the people you love; unhappiness is being separated from the people you love
ความสุขเกิดจากการได้เคียงข้างคนที่คุณรัก และไม่สุขทันทีเมื่อโดนพลัดพราก

9. Happiness is knowing that your family lacks for nothing
ความสุขรู้ว่าครอบครัวคุณขาดอะไร 

10. Happiness is doing a job you love
ความสุขคือการได้ทำงานที่คุณรัก

11. Happiness is having a home and a garden of your own
ความสุขอยู่ในบ้านและสวนของคุณเอง

12. It’s harder to be happy in a country run by bad people
ยากที่จะมีความสุข ในประเทศที่ขับเคลื่อนโดยคนไม่ดี

13. Happiness is feeling useful to others
การได้ทำประโยชน์แก่ผู้อื่น นั่นแหละความสุข

14. Happiness is to be loved for exactly who you are (People are kinder to a child who smiles)
ความสุขจะอยู่กับคนที่เป็นตัวของตัวเอง (ที่เป็นคนใจดีที่สร้างรอยยิ้มแก่ผู้อื่น)

15. Happiness comes when you feel truly alive
ความสุขจะมาเมื่อคุณมีชีวิตชีวาจากใจ

16. Happiness is knowing how to celebrate
ความสุขคือการเฉลิมฉลองให้เป็นเมื่อควร

17. Happiness is caring about the happiness of those you love
ความสุขคือการได้ใส่ใจในความสุขของคนที่คุณรัก

18. Happiness is not attaching too much importance to what other people think
ความสุขไม่ได้ให้ความสำคัญนักกับสิ่งที่คนอื่นคิด

19. The sun and the sea make everybody happy
ดวงอาทิตย์และทะเล ทำให้ทุกคนมีความสุข

20. Happiness is a certain way of seeing things
ความสุขประกอบจากเส้นทางจากสิ่งที่เห็น

21. Rivalry poisons happiness
การแข่งขันคือยาพิษของความสุข

22. Women care more than men about making others happy
ผู้หญิงใส่ใจในการสร้างความสุขแก่ผู้อื่นมากกว่าผู้ชาย 

23. Happiness means making sure that those around you are happy
ความสุขหมายความถึงความแน่ใจว่าคนรอบตัวคุณมีความสุข

Ref. : http://whatishouldhavelearned.tumblr.com/…/305945350…/hector

วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558

ชนะหุ้นด้วย 7 กลยุทธ์

ชนะหุ้นด้วย 7 กลยุทธ์
กลยุทธ์การลงทุนของ “น.พ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ”

ข้อ 1. หุ้นตัวนั้นต้องมีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น หรือ ROE สูง 15-20 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ROE จะบ่งบอกความสามารถของผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น “ยิ่งสูง ยิ่งดี” แต่บางครั้งก็มีตัวหลอกเหมือนกัน หากบริษัทนั้นมีหนี้สินจำนวนมาก ฉะนั้นต้องดูดีๆ อย่ารีบเชื่อ

ข้อ 2. หุ้นตัวนั้นต้องมีอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ หรือ ROA สูงกว่า 10 เปอร์เซ็นต์

ข้อ 3. ต้องมี PEG ratio น้อยกว่า 1 เท่า คือ การเทียบค่า P/E ratio กับการเจริญเติบโตของกำไรสุทธิ (Growth) หาโดยนำค่า P/E ratio ตั้งหารด้วยเปอร์เซ็นต์การเจริญเติบโตนั้น บริษัทใดที่ราคาหุ้นต่ำจะน่าซื้อ ถ้าค่า PEG ratio เกิน 1 แสดงว่า ราคาหุ้นสูงเกินไป

ข้อ 4. ต้องมีอัตราเงินปันผลตอบแทน หรือ Dividend Yield อยู่ในระดับ 3.5-4 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ถามว่า ทำไมต้องเป็นตัวเลขนี้ เพราะเป็นตัวเลขที่มากกว่าอัตราเงินเฟ้อที่ปกติจะอยู่ระดับ 3 เปอร์เซ็นต์

ข้อ 5. หุ้นตัวนั้นต้องมีกระแสเงินสดสูงๆ ยิ่งไม่ต้องจ่ายหนี้จะชอบมากเป็นพิเศษ

ข้อ 6. ผู้บริหารต้องไว้ใจได้ พูดแล้วทำได้จริง ซึ่งเราต้องไปคุยกับผู้บริหารบ่อยๆ ยิ่งเขาถือหุ้นประมาณ 20-25 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งชอบเพราะมันจะบ่งบอกว่า เขาจะทุ่มเทในการทำงานมากขนาดไหน

ข้อสุดท้าย จะดูปัจจัยทางกายภาพ ธุรกิจนี้มีความแข็งแรงมากน้อยแค่ไหน โอกาสเติบโตของรายได้และกำไรเป็นอย่างไร สินค้าหรือธุรกิจหลักจะเติบโตไปตามชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ และลูกค้านิยมชมชอบสินค้ามากหรือน้อยแค่ไหน ที่สำคัญจะดูว่าคู่แข่งของเขามีใครบ้าง หากจะมีคู่แข่งเกิดขึ้นใหม่จะเข้ามาในธุรกิจนี้ได้ง่ายหรือยาก

วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2558

ที่สุดของการลงทุนปี 2557

ปี 2557 ผ่านไป ปี 2558 ผ่านเข้ามา มาดูกันว่า การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ตลอดปี 2557 เป็นอย่างไรบ้าง

① ดัชนีหุ้นไทย (ข้อมูลจาก Aspen for Windows)

เมื่อพิจารณาจากดัชนีผลตอบแทนรวมหรือ Total Return Index (TRI) ของหุ้นกลุ่มต่างๆ ซึ่งสะท้อนทั้งผลจากราคาหุ้น การจ่ายปันผล และการได้รับสิทธิต่างๆ เช่น หุ้นปันผล ใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrants) ไว้หมดแล้ว พบว่า

กลุ่มหุ้นเล็ก (ที่ไม่ค่อยจะเล็กแล้ว) หรือ mai … ร้อนแรงที่สุด บวกไป 98.95% หรือเกือบ 1 เท่าตัว โดยหลายท่านคงจะทราบว่าหุ้นที่เป็นผู้นำในตลาด mai คือ Energy Absolute (EA) ซึ่งมีสัดส่วนมูลค่าตลาดถึง 24% หรือเกือบ 1 ใน 4 ของทั้งตลาด mai … และเฉพาะหุ้น EA ตัวเดียว บวกไปถึง 226% ตลอดปี 2557

กลุ่มหุ้นโดยรวม หรือ SET TRI ถึงจะไม่ร้อนแรงเท่าหุ้นเล็ก แต่ก็บวกไปถึง 19.11%
กลุ่มหุ้นใหญ่ หรือ SET50 TRI บวกตามมาที่ 16.98%

ขณะที่ กลุ่มหุ้นปันผล หรือ SET 30 High Dividend TRI รั้งท้าย บวกขึ้นมาเพียง 9.31% เท่ากับว่า ปี 2557 ใครเน้นหุ้นปันผลตัวใหญ่ๆ จะได้ผลตอบแทนตามหลังหุ้นทั่วๆ ไป (SET TRI) อยู่ถึงครึ่งทาง

② หุ้นไทยรายตัว (ข้อมูลจาก setsmart.com และ Aspen for Windows)

3 อันดับแรกที่บวกร้อนแรงที่สุด คือ

• บริษัท แอสเซท ไบร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ ABC บวกขึ้นมาจาก 0.16 บาท เมื่อปลายปี 2556 มาอยู่ที่ 4.46 บาท เมื่อสิ้นปี 2557 หรือบวก 2,688% (เกือบ 27 เด้ง) โดยมีการตบจูบลากขึ้นทุบลงหลายรอบ

• บริษัท เอื้อวิทยา จำกัด (มหาชน) หรือ UWC บวกขึ้นมาจาก 2.26 บาท มาอยู่ที่ 37 บาท  หรือบวก 1,537% (15 เด้งเศษ) และที่เหลือเชื่อมากก็คือ 15 เด้งนี้ มาเกิดเอาในช่วง 2-3 เดือนสุดท้ายของปี

• บริษัท ไดเมท (สยาม) จำกัด (มหาชน) หรือ DIMET บวกขึ้นมาจาก 1.23 บาท มาอยู่ที่ 13.8 บาท หรือบวก 1,021% (10 เด้งเศษ)

3 อันดับแรกที่ร่วงเยินที่สุด คือ

• บริษัท โซลูชั่น คอนเนอร์ (1998) จำกัด (มหาชน) หรือ SLC ร่วงจาก 0.62 บาท เมื่อปลายปี 2556 มาเหลือเพียง 0.08 บาท เมื่อสิ้นปี 2557 เท่ากับร่วงลงไป 87% (เหลือเพียง 1 ใน 8)

• บริษัท เอเชียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AS ร่วงจาก 8.80 บาท เหลือเพียง 3.80 บาท  เท่ากับร่วงลงไป 57% (เหลือไม่ถึงครึ่ง)

• บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ AMARIN ร่วงจาก 19.18 บาท  เหลือเพียง 10.40 บาท เท่ากับร่วงลงไป 46% (เหลือเพียงครึ่งเดียว)

③ กองทุนรวมที่ซื้อได้ในประเทศไทยซึ่งรวมกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ  (ข้อมูลจาก morningstarthailand.com)

กองทุนหุ้น
เด่นสุด: กองทุนเปิดเอคควิตี้โปร หุ้นระยะยาว (บลจ.โซลาริส) บวก 38.27% ตามมาด้วย กองทุนเปิดทหารไทย China Equity Index (บลจ.ทหารไทย) บวก 37.00%

ดับสุด: กองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ อิเมอร์จิ้ง อีสเทอร์น ยุโรป เอฟไอเอฟ (บลจ.แมนูไลฟ์) ลบ 31.83% ตามมาด้วย กองทุนเปิด เคแทม เวิลด์ เมทัล แอนด์ ไมน์นิ่ง ฟันด์ (บลจ.กรุงไทย) ลบ 23.34%

กองทุนตราสารหนี้
เด่นสุด: กองทุนเปิด โกลบอล อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต – ปันผล (บลจ.ยูโอบี) บวก 10.40% ตามมาด้วย กองทุนเปิดเคแอสเซ็ท โกลบัล ฟิกซ์อินคัม 4 (บลจ.กสิกรไทย) บวก 10.00%

ดับสุด: กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ (บลจ.ไทยพาณิชย์) ลบ 7.14% ตามมาด้วย กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ระยะสั้นและเงินฝากสกุลเงินออสเตรเลีย (บลจ.ไทยพาณิชย์) ลบ 7.04%

กองทุนผสม
เด่นสุด: กองทุนเปิดไทยทวีทุน 2 (บลจ.กรุงไทย) บวก 47.63% ตามมาด้วย กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี-บีทีอินคัมโกรทฟันด์ (บลจ.เอ็มเอฟซี) บวก 23.27%

ดับสุด: เอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล เทน (บลจ.เอ็มเอฟซี) ลบ 35.14% ตามมาด้วย กองทุนเปิดเคแทม อินเวสเมนท์ เลเจนด์ ฟันด์ (บลจ.กรุงไทย) ลบ 9.04%

กองทุนตลาดเงิน
เด่นสุด: กองทุนเปิด เคเอ ชอร์ท เทอม ฟิกซ์ อินคัม (บลจ.กสิกรไทย) บวก 2.92%

ดับสุด: กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารรัฐตลาดเงิน (บลจ.ไทยพาณิชย์) บวก 1.52% (บวกน้อยที่สุดในบรรดากองทุนตลาดเงิน)

กองทุนหุ้นระยะยาว (LTF)
เด่นสุด: กองทุนเปิดเอคควิตี้โปร หุ้นระยะยาว  (บลจ.โซลาริส) บวก 38.27% ตามมาด้วย กองทุนเปิดเอ็มเอฟซีเพิ่มค่าหุ้นระยะยาว (บลจ.เอ็มเอฟซี) บวก 26.83%

ดับสุด (บวกน้อยสุด): กองทุนเปิดเอ็มเอฟซีอิสลามิกหุ้นระยะยาว (บลจ.เอ็มเอฟซี) บวก 3.17% ตามมาด้วย กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นระยะยาวอิควิตี้ 70 ปันผล (บลจ.กรุงศรี) บวก 5.57%